ไออาร์พีซีฉลุยผ่านการคัดเลือกโครงการโรงไฟฟ้าเอสพีพี 2 โครงการๆละ 105 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนรวม 250 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในปี 2560 มั่นใจไร้ปัญหาแหล่งเงินทุนเหตุโรงไฟฟ้ามีรายได้ที่แน่นอน
นายอธิคม เติบศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายแผนธุรกิจองค์กร บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯได้ยื่นประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 3 โครงการให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ปรากฎว่าโครงการโรงไฟฟ้าSPPของบริษัทฯได้ผ่านการคัดเลือกตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าSPPเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โครงการ
โดยโครงการโรงไฟฟ้าSPP ที่ผ่านการคัดเลือกนี้ จะมีกำลังการผลิตโรงละ 105 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 250 ล้านเหรียญสหรัฐรวมการลงทุนด้านระบบสายส่ง โดยบริษัทฯจะขายไฟฟ้าให้กับกฟผ.โรงละ 90 เมกะวัตต์ ส่วนไฟฟ้าและไอน้ำที่เหลือจะป้อนโครงการปิโตรเคมีต่างๆในกลุ่มไออาร์พีซีเอง
นายอธิคม กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้จะเริ่มออกแบบโครงการโรงไฟฟ้าSPP หลังจากนั้นจะดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2560 ซึ่งเดิมบริษัทฯเสนอจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2558 แต่ทางกฟผ.เสนอที่จะรับซื้อไฟฟ้าจาก 2โครงการนี้ในปี 2560 ทำให้บริษัทฯมีเวลานานในการดำเนินโครงการ
สำหรับแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าSPP ดังกล่าวคาดว่าไม่มีปัญหาด้านการจัดหาเงินกู้ เนี่องจากโครงการโรงไฟฟ้ามีรายได้ที่แน่นอนชัดเจน ทำให้สถาบันการเงินให้ความเชื่อมั่นที่จะปล่อยสินเชื่ออีกทั้งโครงการเหล่านี้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ.ระยะยาวอยู่แล้ว
นายอธิคม กล่าวต่อไปว่า ตามแผนการลงทุน 5ปีข้างหน้า (2553-2557) จะใช้เงินลงทุนรวม 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนภายใต้โครงการฟินิกซ์ 19 โครงการประมาณ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และที่เหลือจะเป็นการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าSPPที่บริษัทฯเสนอไปได้ไม่ครบตามเป้าหมาย ก็ทำให้มีวงเงินเหลืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ลงทุนโครงการอื่นๆแทนได้
ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯมีแผนจะอนุมัติโครงการปิโตรเคมีขั้นปลายเพิ่มเติมอีก 2-3 โครงการภายใต้โครงการฟินิกซ์ ในไตรมาส 2 นี้ คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่บอร์ดฯได้อนุมัติโครงการต่างๆไปแล้วคิดเป็นเงินลงทุนรวม 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการต่อยอดสายโพลีเอทิลีนเกรด พิเศษนอกเหนือโครงการฟินิกซ์ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่มีคุณสมบัติคงทนสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จินสูงกว่าผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเกรดทั่วไป ซึ่งเอทิลีนเป็นวัตถุดิบ อาทิ การนำไปผลิตขาเทียม เป็นต้น
นายอธิคม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการผลิตโพรพิลีนขนาด 2.7 แสนตัน/ปี เงินลงทุน 800 ล้านเหรียญสหรัฐที่บอร์ดฯอนุมัติไปปลายปีที่แล้วว่า โครงการดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2558 ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตอยู่ 3.12 แสนตัน/ปี รวมกับโครงการส่วนขยายคอขวดโครงการเดิมอีก 1แสนตัน/ปีที่จะแล้วเสร็จในปีหน้า
โดยมีกำลังการผลิตเหลือเพียงพอที่จะต่อยอดพัฒนาสู่ดาวน์สตรีมที่ได้มาร์จินสูงต่อไปด้วย ส่งผลให้โรงกลั่นไออาร์พีซีเดินเครื่องได้เต็มที่ 2.15 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่กลั่นอยู่ 1.79 แสนบาร์เรล/วัน
ในปีนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากการลดต้นทุนโครงการผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ได้เดินเครื่องผลิตไฟไปแล้ว 5 เครื่อง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 6 เครื่องได้ภายในเดือนมิ.ย. 54 ทำให้ประหยัดต้นทุนได้วันละ 5 ล้านบาทหรือปีนี้ประมาณ 1.3 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปีบริษัทฯคาดว่ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA)ดีกว่าปีก่อน
นายอธิคม เติบศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายแผนธุรกิจองค์กร บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯได้ยื่นประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 3 โครงการให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ปรากฎว่าโครงการโรงไฟฟ้าSPPของบริษัทฯได้ผ่านการคัดเลือกตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าSPPเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โครงการ
โดยโครงการโรงไฟฟ้าSPP ที่ผ่านการคัดเลือกนี้ จะมีกำลังการผลิตโรงละ 105 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 250 ล้านเหรียญสหรัฐรวมการลงทุนด้านระบบสายส่ง โดยบริษัทฯจะขายไฟฟ้าให้กับกฟผ.โรงละ 90 เมกะวัตต์ ส่วนไฟฟ้าและไอน้ำที่เหลือจะป้อนโครงการปิโตรเคมีต่างๆในกลุ่มไออาร์พีซีเอง
นายอธิคม กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้จะเริ่มออกแบบโครงการโรงไฟฟ้าSPP หลังจากนั้นจะดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2560 ซึ่งเดิมบริษัทฯเสนอจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2558 แต่ทางกฟผ.เสนอที่จะรับซื้อไฟฟ้าจาก 2โครงการนี้ในปี 2560 ทำให้บริษัทฯมีเวลานานในการดำเนินโครงการ
สำหรับแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าSPP ดังกล่าวคาดว่าไม่มีปัญหาด้านการจัดหาเงินกู้ เนี่องจากโครงการโรงไฟฟ้ามีรายได้ที่แน่นอนชัดเจน ทำให้สถาบันการเงินให้ความเชื่อมั่นที่จะปล่อยสินเชื่ออีกทั้งโครงการเหล่านี้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟผ.ระยะยาวอยู่แล้ว
นายอธิคม กล่าวต่อไปว่า ตามแผนการลงทุน 5ปีข้างหน้า (2553-2557) จะใช้เงินลงทุนรวม 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนภายใต้โครงการฟินิกซ์ 19 โครงการประมาณ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และที่เหลือจะเป็นการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าSPPที่บริษัทฯเสนอไปได้ไม่ครบตามเป้าหมาย ก็ทำให้มีวงเงินเหลืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ลงทุนโครงการอื่นๆแทนได้
ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯมีแผนจะอนุมัติโครงการปิโตรเคมีขั้นปลายเพิ่มเติมอีก 2-3 โครงการภายใต้โครงการฟินิกซ์ ในไตรมาส 2 นี้ คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่บอร์ดฯได้อนุมัติโครงการต่างๆไปแล้วคิดเป็นเงินลงทุนรวม 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการต่อยอดสายโพลีเอทิลีนเกรด พิเศษนอกเหนือโครงการฟินิกซ์ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่มีคุณสมบัติคงทนสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จินสูงกว่าผลิตเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเกรดทั่วไป ซึ่งเอทิลีนเป็นวัตถุดิบ อาทิ การนำไปผลิตขาเทียม เป็นต้น
นายอธิคม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการผลิตโพรพิลีนขนาด 2.7 แสนตัน/ปี เงินลงทุน 800 ล้านเหรียญสหรัฐที่บอร์ดฯอนุมัติไปปลายปีที่แล้วว่า โครงการดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2558 ทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโพรพิลีนเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตอยู่ 3.12 แสนตัน/ปี รวมกับโครงการส่วนขยายคอขวดโครงการเดิมอีก 1แสนตัน/ปีที่จะแล้วเสร็จในปีหน้า
โดยมีกำลังการผลิตเหลือเพียงพอที่จะต่อยอดพัฒนาสู่ดาวน์สตรีมที่ได้มาร์จินสูงต่อไปด้วย ส่งผลให้โรงกลั่นไออาร์พีซีเดินเครื่องได้เต็มที่ 2.15 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่กลั่นอยู่ 1.79 แสนบาร์เรล/วัน
ในปีนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากการลดต้นทุนโครงการผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้ได้เดินเครื่องผลิตไฟไปแล้ว 5 เครื่อง คาดว่าจะแล้วเสร็จเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 6 เครื่องได้ภายในเดือนมิ.ย. 54 ทำให้ประหยัดต้นทุนได้วันละ 5 ล้านบาทหรือปีนี้ประมาณ 1.3 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปีบริษัทฯคาดว่ามีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA)ดีกว่าปีก่อน