ถ้าผมได้มีโอกาสเป็นครูสอนเลขคณิตพื้นฐานให้เด็กปอสี่ ผมจะตั้งโจทย์เลขดังต่อไปนี้:
โจทย์ข้อที่ 1) ในการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้ง คนไทยมาออกเสียงเลือกตั้งอย่างมากที่สุดประมาณ 30 ล้านคน ถ้านักเรียนต้องการได้คะแนนเสียงจำนวนร้อยละ 51 เพื่อให้ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องตั้งรัฐบาลผสม ถามว่าจะต้องใช้เงินสักเท่าใดเพื่อซื้อเสียงเหล่านั้น ถ้าต้องซื้อเสียงเสียงละ 500 บาท
เชื่อว่าเด็กปอสี่ที่ตั้งใจเรียนวิชาเลขสักหน่อยคงตอบได้ไม่ยากนักว่า 3901.5 ล้านบาท ..ถ้าท่านผู้อ่านตอบว่า 7,650 ล้านบาท ด้วยการเอา 30 ล้าน คูณ 0.51 คูณ 500 ก็แสดงว่าตอบผิดนะครับ
ตัวเลขจริงๆ จะน้อยกว่า 3,901 เสียอีกเพราะในหลายพื้นที่ถ้าได้คะแนนเพียง 30% ก็ชนะแล้ว เนื่องจากมีผู้สมัครมากกว่าสองคนที่แย่งคะแนนเสียงกันอยู่แล้ว
โจทย์ข้อ 2): จำนวนเงินที่ต้องใช้ซื้อเสียงดังกล่าวในข้อที่ 1) คิดเป็นร้อยละเท่าไรของเงินกำไรที่นักเลือกตั้งจะหาได้จากการกุมอำนาจรัฐ 1 ปี ทั้งนี้สมมติว่าพวกเขามีรายได้จากการกินหัวคิว 30% ของงบประมาณชาติซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี
เด็กปอสี่จะตอบได้ไม่ยากนักว่า..ประมาณ 0.867% ของรายได้ใน 1 ปี (ไม่นับรวมเงินเดือน และสวัสดิการจากภาษีของพวกเรา รวมทั้งเกียรติ..สายสะพาย)
เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์แล้วหมายความว่า ลงทุนซื้อเสียงไป 1 บาท ภายใน 1 ปีได้เงินคืนมา 115.34 บาท ซึ่งถือว่าได้กำไร 114.34 เท่า หรือ 11,400.34 % โอย..จะมีการลงทุนอะไรดีไปกว่านี้
นักธุรกิจทั่วไป ถ้าใครฉลาด..เก่ง..เหนือฟ้าจนทำกำไรจากธุรกิจแบบสุจริตโดยไม่โกงลูกค้า แม้กำไรเพียง 10% ก็จะได้รับการซูฮกก้องวงการแล้วว่าเก่งหนักหนา แต่คนพวกนี้ทำกำไร 11,400 % ..วาว!!
แบบนี้น่าช่วยกันเสนอคณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบล ให้ยกรางวัลโนเบลสาขาธุรกิจให้กับนักการเมืองไทยจะดีไหม (..อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ เพราะพวกสวีเดนนี้เขามีอารมณ์ขันแบบเสียดสีที่ลึกล้ำ ถ้าเขาให้รางวัลแบบนี้ รับรองว่าการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงแน่นอน การปฏิรูปการเมืองไทยแบบง่ายๆ อาจต้องอาศัยรางวัลโนเบลแบบเสียดสีนี่เอง)
นี่คิดแบบว่า พวกเขาครองประเทศหนึ่งปีนะ แล้วถ้าครอง 2-3-4 ปีล่ะ?? เด็กปอสี่ลองคำนวณดูว่าจะได้กำไรสักเท่าไร (อย่าลืมลบต้นทุน 1 บาทด้วยนะ)
ที่ว่ามานี้ ยังไม่รวมรายได้ทางอ้อมจากเบี้ยบ้ายรายทาง เช่น ส่วยจากนักธุรกิจรายใหญ่ กลาง เล็ก และนักธุรกิจข้ามชาติ เช่น บริษัทน้ำมัน อาวุธ เคมี อาหาร เหล้า บุหรี่ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ ยาบ้า โทรคม สื่อสาร ที่ต้องมาขอลายเซ็นให้อนุมัติโครงการต่างๆ รวมถึงส่วยจากการโยกย้ายข้าราชการ
ก็รวยกันอื้อซ่าบ้าระห่ำแบบนี้ จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมถึงมีเงินซื้อพวงหรีดไปแจกทุกงานศพ ใส่ซองหนาในทุกงานกฐิน ผ้าป่า ส่วนงานบวชก็ส่งหมากพลูบุหรี่ให้ทุกคนที่มางาน แถมฝากลูกเข้าโรงเรียนได้หมดที่ร้องขอเข้าไป (เพราะใช้เงินและหรืออำนาจซื้อ ผอ.ร.ร.ไว้ได้หมดแล้ว) เงินเหล่านี้เป็นรายจ่ายของคนพวกนี้ ที่พวกเขาเต็มใจจ่าย เพราะจ่ายให้ตายเพียงใดก็ไม่ถึง 1 บาทของกำไร 114.34 บาทที่ได้มา ขนหน้าแข้งไม่พอร่วง..ว่างั้นเถอะ แต่มันจะส่งผลให้พวกเขาได้ต่อวงจรอุบาทว์อย่างไม่รู้จบถึงลูกหลาน แถมได้บุญคุณจากคนทั้งบางอีกต่างหาก นี่มันเป็นโกงระดับจิตวิญญาณเชียวนะ ซึ่งน่ากลัวมากจริงๆ
คำนวณให้ดูแบบเด็กปอสี่อย่างนี้แล้วยังจะบูชาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตะวันตก..แบบหนึ่งคนหนึ่งเสียง..ตามที่นักวิชาการชี้นำให้พวกเรานิยมชมชื่นกันหนักหนาอีกต่อไปหรือ
คราวหน้านี้ท่านใดกา “ไม่เลือกผู้ใด” เอาใจผมไปเลยหนึ่งดวง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คิดเป็นแบบสัดส่วนเงินของงบประมาณประเทศ แล้วถ้าพวกสมาคมนักธุรกิจต่างชาติเขาคิดจะซื้อประเทศไทย ..ผ่านการซื้อนักการเมืองไทย.. ด้วยการรับภาระซื้อเสียงแทนนักการเมืองไปเสียเลยล่ะ?
ถ้าพวกเขาจะลงขันกัน 3,901.5 ล้านบาท เพื่อซื้อนักการเมืองข้างมากของประเทศไทย ผมขอตั้งโจทย์ถาม รมว. และอดีต รมว. กระทรวงการคลัง รวมทั้งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ระดับด็อกทั้งหลายในหอคอยงาช้างไทยทุกคนว่า พวกเขาต้องใช้เงินร้อยละเท่าไรของรายได้ที่พวกเขาดูดไปจากหยาดเหงื่อแรงงานคนไทยทั้งประเทศ
ตอบ...ประมาณร้อยละ 0.055
ถามว่าถ้าคุณมีรายได้ 100 บาท แล้วต้องจ่ายเงินประมาณ “ครึ่งของครึ่งสตางค์” เพื่อซื้อประเทศไทยให้เป็นของคุณ ที่คุณจะบงการให้ซ้ายหันขวาหันได้หมด คุณจะเสียดายเงินนี้ไหม
(หมายเหตุ คำตอบนี้คิดจากสมมติฐานที่ผมได้คำนวณไว้นานแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ แล้วว่ารายได้ประชาชาติไทยจำนวนประมาณ 10 ล้านล้านบาทนั้นเป็นรายได้ของนายทุนต่างชาติถึง 70%..ไม่เชื่อเชิญลบหลู่ได้)
ข้อคิดส่งท้าย:
พรรคการเมืองไทยที่ต้องการชนะการเลือกตั้งควรทำดังนี้
1) ให้ช่องโหว่ในการลดหย่อนภาษีต่อคนรวยให้มากที่สุด
2) ให้ศูนย์การค้าหรูต่อคนชั้นกลางให้มากที่สุด
3) ให้คำมั่นสัญญาต่อคนจนให้มากที่สุด
โจทย์ข้อที่ 1) ในการเลือกตั้งทั่วไปแต่ละครั้ง คนไทยมาออกเสียงเลือกตั้งอย่างมากที่สุดประมาณ 30 ล้านคน ถ้านักเรียนต้องการได้คะแนนเสียงจำนวนร้อยละ 51 เพื่อให้ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่ต้องตั้งรัฐบาลผสม ถามว่าจะต้องใช้เงินสักเท่าใดเพื่อซื้อเสียงเหล่านั้น ถ้าต้องซื้อเสียงเสียงละ 500 บาท
เชื่อว่าเด็กปอสี่ที่ตั้งใจเรียนวิชาเลขสักหน่อยคงตอบได้ไม่ยากนักว่า 3901.5 ล้านบาท ..ถ้าท่านผู้อ่านตอบว่า 7,650 ล้านบาท ด้วยการเอา 30 ล้าน คูณ 0.51 คูณ 500 ก็แสดงว่าตอบผิดนะครับ
ตัวเลขจริงๆ จะน้อยกว่า 3,901 เสียอีกเพราะในหลายพื้นที่ถ้าได้คะแนนเพียง 30% ก็ชนะแล้ว เนื่องจากมีผู้สมัครมากกว่าสองคนที่แย่งคะแนนเสียงกันอยู่แล้ว
โจทย์ข้อ 2): จำนวนเงินที่ต้องใช้ซื้อเสียงดังกล่าวในข้อที่ 1) คิดเป็นร้อยละเท่าไรของเงินกำไรที่นักเลือกตั้งจะหาได้จากการกุมอำนาจรัฐ 1 ปี ทั้งนี้สมมติว่าพวกเขามีรายได้จากการกินหัวคิว 30% ของงบประมาณชาติซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี
เด็กปอสี่จะตอบได้ไม่ยากนักว่า..ประมาณ 0.867% ของรายได้ใน 1 ปี (ไม่นับรวมเงินเดือน และสวัสดิการจากภาษีของพวกเรา รวมทั้งเกียรติ..สายสะพาย)
เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางศ์แล้วหมายความว่า ลงทุนซื้อเสียงไป 1 บาท ภายใน 1 ปีได้เงินคืนมา 115.34 บาท ซึ่งถือว่าได้กำไร 114.34 เท่า หรือ 11,400.34 % โอย..จะมีการลงทุนอะไรดีไปกว่านี้
นักธุรกิจทั่วไป ถ้าใครฉลาด..เก่ง..เหนือฟ้าจนทำกำไรจากธุรกิจแบบสุจริตโดยไม่โกงลูกค้า แม้กำไรเพียง 10% ก็จะได้รับการซูฮกก้องวงการแล้วว่าเก่งหนักหนา แต่คนพวกนี้ทำกำไร 11,400 % ..วาว!!
แบบนี้น่าช่วยกันเสนอคณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบล ให้ยกรางวัลโนเบลสาขาธุรกิจให้กับนักการเมืองไทยจะดีไหม (..อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ เพราะพวกสวีเดนนี้เขามีอารมณ์ขันแบบเสียดสีที่ลึกล้ำ ถ้าเขาให้รางวัลแบบนี้ รับรองว่าการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงแน่นอน การปฏิรูปการเมืองไทยแบบง่ายๆ อาจต้องอาศัยรางวัลโนเบลแบบเสียดสีนี่เอง)
นี่คิดแบบว่า พวกเขาครองประเทศหนึ่งปีนะ แล้วถ้าครอง 2-3-4 ปีล่ะ?? เด็กปอสี่ลองคำนวณดูว่าจะได้กำไรสักเท่าไร (อย่าลืมลบต้นทุน 1 บาทด้วยนะ)
ที่ว่ามานี้ ยังไม่รวมรายได้ทางอ้อมจากเบี้ยบ้ายรายทาง เช่น ส่วยจากนักธุรกิจรายใหญ่ กลาง เล็ก และนักธุรกิจข้ามชาติ เช่น บริษัทน้ำมัน อาวุธ เคมี อาหาร เหล้า บุหรี่ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ ยาบ้า โทรคม สื่อสาร ที่ต้องมาขอลายเซ็นให้อนุมัติโครงการต่างๆ รวมถึงส่วยจากการโยกย้ายข้าราชการ
ก็รวยกันอื้อซ่าบ้าระห่ำแบบนี้ จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมถึงมีเงินซื้อพวงหรีดไปแจกทุกงานศพ ใส่ซองหนาในทุกงานกฐิน ผ้าป่า ส่วนงานบวชก็ส่งหมากพลูบุหรี่ให้ทุกคนที่มางาน แถมฝากลูกเข้าโรงเรียนได้หมดที่ร้องขอเข้าไป (เพราะใช้เงินและหรืออำนาจซื้อ ผอ.ร.ร.ไว้ได้หมดแล้ว) เงินเหล่านี้เป็นรายจ่ายของคนพวกนี้ ที่พวกเขาเต็มใจจ่าย เพราะจ่ายให้ตายเพียงใดก็ไม่ถึง 1 บาทของกำไร 114.34 บาทที่ได้มา ขนหน้าแข้งไม่พอร่วง..ว่างั้นเถอะ แต่มันจะส่งผลให้พวกเขาได้ต่อวงจรอุบาทว์อย่างไม่รู้จบถึงลูกหลาน แถมได้บุญคุณจากคนทั้งบางอีกต่างหาก นี่มันเป็นโกงระดับจิตวิญญาณเชียวนะ ซึ่งน่ากลัวมากจริงๆ
คำนวณให้ดูแบบเด็กปอสี่อย่างนี้แล้วยังจะบูชาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตะวันตก..แบบหนึ่งคนหนึ่งเสียง..ตามที่นักวิชาการชี้นำให้พวกเรานิยมชมชื่นกันหนักหนาอีกต่อไปหรือ
คราวหน้านี้ท่านใดกา “ไม่เลือกผู้ใด” เอาใจผมไปเลยหนึ่งดวง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คิดเป็นแบบสัดส่วนเงินของงบประมาณประเทศ แล้วถ้าพวกสมาคมนักธุรกิจต่างชาติเขาคิดจะซื้อประเทศไทย ..ผ่านการซื้อนักการเมืองไทย.. ด้วยการรับภาระซื้อเสียงแทนนักการเมืองไปเสียเลยล่ะ?
ถ้าพวกเขาจะลงขันกัน 3,901.5 ล้านบาท เพื่อซื้อนักการเมืองข้างมากของประเทศไทย ผมขอตั้งโจทย์ถาม รมว. และอดีต รมว. กระทรวงการคลัง รวมทั้งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ระดับด็อกทั้งหลายในหอคอยงาช้างไทยทุกคนว่า พวกเขาต้องใช้เงินร้อยละเท่าไรของรายได้ที่พวกเขาดูดไปจากหยาดเหงื่อแรงงานคนไทยทั้งประเทศ
ตอบ...ประมาณร้อยละ 0.055
ถามว่าถ้าคุณมีรายได้ 100 บาท แล้วต้องจ่ายเงินประมาณ “ครึ่งของครึ่งสตางค์” เพื่อซื้อประเทศไทยให้เป็นของคุณ ที่คุณจะบงการให้ซ้ายหันขวาหันได้หมด คุณจะเสียดายเงินนี้ไหม
(หมายเหตุ คำตอบนี้คิดจากสมมติฐานที่ผมได้คำนวณไว้นานแต่ พ.ศ. ๒๕๔๓ แล้วว่ารายได้ประชาชาติไทยจำนวนประมาณ 10 ล้านล้านบาทนั้นเป็นรายได้ของนายทุนต่างชาติถึง 70%..ไม่เชื่อเชิญลบหลู่ได้)
ข้อคิดส่งท้าย:
พรรคการเมืองไทยที่ต้องการชนะการเลือกตั้งควรทำดังนี้
1) ให้ช่องโหว่ในการลดหย่อนภาษีต่อคนรวยให้มากที่สุด
2) ให้ศูนย์การค้าหรูต่อคนชั้นกลางให้มากที่สุด
3) ให้คำมั่นสัญญาต่อคนจนให้มากที่สุด