ASTVผู้จัดการรายวัน- บ้านปูเผยมีดีอีใกล้เต็มเพดาน ส่งผลต่อกำลังซื้อกิจการมีอีกไม่มาก "ชนินทร์ " แจงขายเหมืองต้าหนิงยังไม่อาจประเมินผลกระทบต่อตัวเลขกำไรหรือไม่ จากเดิมที่มีกำไรจากเหมืองนี้ปีละ 2.5 พันล้านบาท เหตุขึ้นอยู่กับการผลิตของเหมืองที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย พร้อมคงเป้ายอดขายถ่านหินไว้ที่ 44-45 ล้านตันต่อปี แจงเกิดสึนามิในญี่ปุ่นจะกระทบต่อราคาถ่านหินหรือไม่ต้องรอประเมินอีกระยะ
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่าบริษัทมีเพดานลงทุนเพื่อซื้อกิจการได้อีกไม่มาก เนื่องจากบริษัทมีหนี้อยู่ในระดับที่สูง โดยอัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิ(ดีอี)ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 1 เท่าใกล้แตะเพดานที่บริษัทกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 1.1 เท่า หากลงทุนเพิ่มจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางด้านหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งยังสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจถ่านหินต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้เงินสำหรับการซื้อเหมืองถ่านหินที่มองโกเลีย จำนวน 45 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินลงทุนดังกล่าวมาจากการกู้สถาบันการเงิน และคาดว่าเหมืองที่มองโกเลียจะเริ่มดำเนินการได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนความคืบหน้าในการขายเหมืองถ่านหินที่ต้าหนิงในประเทศจีนออกไป มูลค่า 669 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ไม่ได้กระทบต่อยอดขาย ปีนี้ เพราะบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายถ่านหินไว้ที่ 44-45 ล้านตันต่อปี แต่ปีหน้าคงต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่าแหล่งถ่านหินที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซียจะมีกำลังการผลิตที่สามารถชดเชยกำลังการผลิตที่หายไปได้หรือไม่ ซึ่งในอดีตเหมืองถ่านหินต้าหนิงสร้างกำไรให้กับบริษัท 2,500 ล้านบาทต่อปี
"บริษัทได้มีการขายเหมืองที่ต้าหนิงไป 699 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้ยังไม่สามาถรตอบได้ว่าจะมีกำไรจากการขายเท่าไร เพราะจะต้องเสียภาษี และค่าที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งกำไรที่ได้ก็จะมีการบุ๊คเข้ามาในปีนี้ ส่วนขายเหมืองที่ต้าหนิงไปจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทหรือไม่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับเหมืองที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซียว่าจะมีกำลังการผลิตเท่าไร " นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับเหตุการสึนามินั้นไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากบริษัทมีลูกค้าในญี่ปุ่น 2 ราย ซึ่งจะต้องมีการเจรจากับลูกค้าว่าจะให้นำสินค้าส่งที่ท่าไหน หลังจากท่าเรือเซนไดไม่สามารถนำเรือเทียบท่าได้และผลของการเกิดสึนามิ คาดว่าจะทำให้มีความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เพราะทางเลือกด้านพลังงานมีไม่มากซึ่งจำกัดเพียงถ่านหินและก๊าซ เท่านั้น ส่วนจะมีผลต่อราคาถ่านหินหรือไม่นั้น ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ปัจจุบันราคาอยู่ที่ระดับ 123-124 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นายชนินท์ กล่าวว่า จากการที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งบริษัทได้เตรียมรับมือด้วยการออกหุ้นกู้วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระหนี้เดิม ซึ่งวัตถุประสงค์หลักไม่ได้ทำเพื่อประหยัดต้นทุนดอกเบี้ย แต่เพื่อยืดระยะเวลาการชำระหนี้ และกระจายตัวโครงสร้างหนี้ให้มีดอกเบี้ยคงที่ นอกเหนีอจากต้นทุนดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินที่เป็นแบบลอยตัว
" ความท้าทายต่อการบริหารจัดการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ทั่วไปนั้น มี 3 ปัจจัย คือ ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย และการเมือง ในส่วนของบ้านปูการเมืองมีผลต่อบริษัทน้อยมาก เว้นแต่ว่าจะกระทบเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุน ซึ่งความเสี่ยงของบ้านปู คือ ราคาน้ำมัน ยิ่งผันผวนภายหลังเกิดปัญหาในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 2. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร หลังจากญี่ปุ่นมีปัญหาและเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน และ 3. ดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทได้วางแผนรับมือกับความเสี่ยงทั้ง 3 ด้านนั้น บ้านปูได้เตรียมรับมือไว้ แต่หากเป็นเรื่องความกังวลทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกได้จัดทำแผนธุรกิจ ตามสมมุติฐานความเสี่ยงตั้งแต่ระดับสูง กลาง ต่ำ ส่วนความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ขยับเพิ่มสูงขึ้นนั้น ได้ป้องกันความเสี่ยง(เฮจด์)ไว้แล้ว
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่าบริษัทมีเพดานลงทุนเพื่อซื้อกิจการได้อีกไม่มาก เนื่องจากบริษัทมีหนี้อยู่ในระดับที่สูง โดยอัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิ(ดีอี)ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 1 เท่าใกล้แตะเพดานที่บริษัทกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 1.1 เท่า หากลงทุนเพิ่มจะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางด้านหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งยังสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจถ่านหินต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้เงินสำหรับการซื้อเหมืองถ่านหินที่มองโกเลีย จำนวน 45 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินลงทุนดังกล่าวมาจากการกู้สถาบันการเงิน และคาดว่าเหมืองที่มองโกเลียจะเริ่มดำเนินการได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนความคืบหน้าในการขายเหมืองถ่านหินที่ต้าหนิงในประเทศจีนออกไป มูลค่า 669 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น ไม่ได้กระทบต่อยอดขาย ปีนี้ เพราะบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายถ่านหินไว้ที่ 44-45 ล้านตันต่อปี แต่ปีหน้าคงต้องมีการพิจารณาอีกครั้งว่าแหล่งถ่านหินที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซียจะมีกำลังการผลิตที่สามารถชดเชยกำลังการผลิตที่หายไปได้หรือไม่ ซึ่งในอดีตเหมืองถ่านหินต้าหนิงสร้างกำไรให้กับบริษัท 2,500 ล้านบาทต่อปี
"บริษัทได้มีการขายเหมืองที่ต้าหนิงไป 699 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้ยังไม่สามาถรตอบได้ว่าจะมีกำไรจากการขายเท่าไร เพราะจะต้องเสียภาษี และค่าที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งกำไรที่ได้ก็จะมีการบุ๊คเข้ามาในปีนี้ ส่วนขายเหมืองที่ต้าหนิงไปจะมีผลกระทบต่อกำไรของบริษัทหรือไม่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับเหมืองที่ออสเตรเลียและอินโดนีเซียว่าจะมีกำลังการผลิตเท่าไร " นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับเหตุการสึนามินั้นไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากบริษัทมีลูกค้าในญี่ปุ่น 2 ราย ซึ่งจะต้องมีการเจรจากับลูกค้าว่าจะให้นำสินค้าส่งที่ท่าไหน หลังจากท่าเรือเซนไดไม่สามารถนำเรือเทียบท่าได้และผลของการเกิดสึนามิ คาดว่าจะทำให้มีความต้องการถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า เพราะทางเลือกด้านพลังงานมีไม่มากซึ่งจำกัดเพียงถ่านหินและก๊าซ เท่านั้น ส่วนจะมีผลต่อราคาถ่านหินหรือไม่นั้น ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ปัจจุบันราคาอยู่ที่ระดับ 123-124 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นายชนินท์ กล่าวว่า จากการที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งบริษัทได้เตรียมรับมือด้วยการออกหุ้นกู้วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อชำระหนี้เดิม ซึ่งวัตถุประสงค์หลักไม่ได้ทำเพื่อประหยัดต้นทุนดอกเบี้ย แต่เพื่อยืดระยะเวลาการชำระหนี้ และกระจายตัวโครงสร้างหนี้ให้มีดอกเบี้ยคงที่ นอกเหนีอจากต้นทุนดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินที่เป็นแบบลอยตัว
" ความท้าทายต่อการบริหารจัดการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ทั่วไปนั้น มี 3 ปัจจัย คือ ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย และการเมือง ในส่วนของบ้านปูการเมืองมีผลต่อบริษัทน้อยมาก เว้นแต่ว่าจะกระทบเสถียรภาพการเมืองในประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุน ซึ่งความเสี่ยงของบ้านปู คือ ราคาน้ำมัน ยิ่งผันผวนภายหลังเกิดปัญหาในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 2. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร หลังจากญี่ปุ่นมีปัญหาและเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน และ 3. ดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทได้วางแผนรับมือกับความเสี่ยงทั้ง 3 ด้านนั้น บ้านปูได้เตรียมรับมือไว้ แต่หากเป็นเรื่องความกังวลทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกได้จัดทำแผนธุรกิจ ตามสมมุติฐานความเสี่ยงตั้งแต่ระดับสูง กลาง ต่ำ ส่วนความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่ขยับเพิ่มสูงขึ้นนั้น ได้ป้องกันความเสี่ยง(เฮจด์)ไว้แล้ว