xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค”ไม่เชื่อค้านเจบีซี เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้(23 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) ว่ากรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศระดมมวลชนคัดค้านการพิจารณาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา (เจบีซี) 3 ฉบับของสภาผู้แทนราษฎร มาเป็นวันศุกร์ที่ 25 มี.ค. เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้
เมื่อถามต่อว่าโดยหนทางแล้วกลุ่มพันธมิตรฯอาจใช้เงื่อนไขตรงนี้สร้างชนวนให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามที่จะให้ทุกอย่างมันเดินไปได้ด้วยดี ว่าวันนี้ยืนยันกันแล้ว เรากำลังเดินไปสู่การเลือกตั้ง และจะเห็นว่าวันนี้สภากำลังเร่งพิจารณาในเรื่องกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะเรื่องนโยบาย เวทีการเลือกตั้ง ประชาธิปไตย มันเป็นเวทีที่รองรับอยู่แล้ว สามารถที่จะเดินตรงนั้นไปได้หมด
ทั้งนี้ยังปฏิเสธกรณีที่พรรคเพื่อแผ่นดินออกมาระบุว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อาจต้องลาออกทั้งคณะ หากถูกบังคับให้ออกระเบียบเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้เกิดสุญญากาศแล้วทำให้เกิดนายกฯมาตรา 7 “คงไม่มีหรอกครับ “ที่ กกต.เสนอกฎหมาย และสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการกกต.คงมีความสบายใจขึ้น

**ยังฝันได้เลือกตั้งไม่มีสะดุด
เมื่อถามต่อว่าระหว่างทางก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้ง จะมีเหตุอะไรทำให้สะดุดก่อนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนต้องช่วยกัน คิดว่าการเลือกตั้งก็คือการคืนอำนาจให้พี่น้องประชาชน ฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกันเดินไปสู่จุดนั้น เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้
เมื่อถามว่า นายกฯคิดว่ามีอะไรที่สะท้อนสภาวะผิดปกติหรือไม่ เพราะในขณะที่เราจะเดินสู่การเลือกตั้ง แต่กลับมีการพูดถึงวิธีนอกระบบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเพียงความคิดเห็นของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ตนคิดว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้กระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการของรัฐธรรมนูญเดินไปข้างหน้า
“จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่าหลายคนบอกว่าพอแล้วกับหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งเราเผชิญมาหลายปี ไม่ใช่เฉพาะ 2 ปีในรัฐบาลนี้ แต่อาจจะ 5-6 ปีด้วยซ้ำ น่าจะพยายามปรับสภาพบ้านเมือง กลับไปสู่สภาวะปกติ เพื่อเดินไปข้างหน้า ความคิดที่บอกว่าทำอะไรนอกกติกา มันเป็นการเชื้อเชิญทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาทั้งสิ้น”นายอภิสิทธิ์กล่าว

**ไม่พบผิดปกติเหมือนปี49
ส่วนที่มีความพยายามเปรียบเทียบสถานการณ์ขณะนี้กับก่อนการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 มองว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต่างกันค่อนข้างมาก เพราะเมื่อเดือนกันยายน 2549 สภาพบ้านเมืองที่มันผิดปกติ มาจากระบบรัฐสภาเป็นเวลาประมาณครึ่งปี ขณะนี้กระบวนการตามปกติ ตามรัฐธรรมนูญเดินได้ทุกประการ เพียงแต่ว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นที่หลากหลายอยู่ และมีการเคลื่อนไหวนอกสภาอยู่บ้าง ทุกอย่างก็อยู่ในกรอบของกฎหมาย
เมื่อถามต่อว่า มีความพยายามนำเรื่องมาตรา 7 ย้อนศรนายกฯที่ก่อนหน้าที่นายกฯเป็นฝ่ายค้านเคยเสนอเรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เงื่อนไขมันไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นมีเงื่อนไข ซึ่งมีการเลือกตั้ง โดยที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย และข้อเรียกร้องตอนนั้นของเขาเอง หรือกรณีที่ตนบอกว่าถ้าจะลาออกทั้งคณะรัฐมนตรีก็เพื่อที่จะมาจัดการเลือกตั้ง ขณะนี้กลไกการจัดการเลือกตั้งไม่ได้เป็นปัญหา ทุกพรรคการเมืองเข้ามาร่วม ตนก็เห็นพรรคการเมืองใหม่สรรหาผู้สมัครอยู่เลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการอ้างว่านักการเมืองเวลานี้ไว้ใจไม่ได้ควรมอบอำนาจให้กับคณะบุคคลที่ไว้ใจได้ นายอภิสิทธิ์ย้อนถามว่า แล้วใครจะเป็นคนบอกว่าไว้ใจใครได้ เป็นสิทธิ์ของประชาชาว่าจะไว้วางใจใคร คงจะมีคนไปคิดแทนประชาชนไม่ได้ ว่าต้องไว้ใจคนนั้นคนนี้คงไม่ได้ เมื่อถามว่าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดภาวะพรรคเล็กเป็นคนกำหนดนายกรัฐมนตรี แทนพรรคใหญ่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราอย่าไปคิดล่วงหน้าแทนประชาชน ประชาชนเป็นคนลงคะแนน เอาคะแนนมาดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อถามว่า เพราะตอนนี้เกิดสภาพมีการตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแปรอย่างพรรคประชาสันติ เพื่อเป็นรัฐบาลในการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบหรอกครับ ใครจะตัดสินใจอย่างไร ก็ต้องไปตอบคำถามประชาชนในช่วงการเลือกตั้งอยู่แล้ว เมื่อถามว่าคิดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคใหญ่จะหมดหมดโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกติกา

**เทือกปัด“ยุบ 10 พ.ค.-เลือกตั้ง 3 ก.ค.”
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่าได้ข้อสรุปที่จะให้ประกาศยุบสภาในวันที่ 10 พ.ค. และกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.ว่านายกรัฐมนตรีได้ยืนยันชัดเจนว่า ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค. แต่ยังไม่ได้กำหนดวันว่าจะเป็นวันที่เท่าไร แต่ที่มีข่าวว่าเป็นวันนั้นวันนี้ ต่างคนต่างคาดการณ์กันไปเอง
“ผมคิดว่าคงไปอยู่ประมาณวันที่ 6-7-8 พ.ค. เพราะคิดว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ที่จะเสนอเข้าสภา เมื่อสภารับหลักการแล้ว กรรมาธิการก็ต้องใช้เวลาทำงานอยู่พอสมควร ถ้าเราดำเนินการได้เสร็จภายเดือนเม.ย. ก็ถือว่าเรียบร้อย เดือนพ.ค. ทางกกต.ก็สามารถเตรียมการเลือกตั้งได้ และก็อยู่ที่กกต.จะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในกี่วัน ซึ่งอย่างน้อยก็ต้อง 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน กกต.จะกำหนดให้เป็น 50 วันหรือ 55 วัน ก็แล้วแต่ต้องไปดูให้ตรงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมเลยคาดการณ์ว่า น่าจะไปเลือกตั้งปลายเดือนมิ.ย. หรือต้นเดือนก.ค. แต่นายกฯ ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน”

**เสธ.หนั่น ฟังธงไม่มีทหารปฏิวัติ
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) กล่าวเชื่อว่า จากนี้ไปไม่น่าจะมีอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น จนถึงขั้นเลือกตั้งไม่ได้ และเชื่อว่าไม่มีการปฏิวัติ เขาจะทำไปเพื่ออะไร ส่วนที่ช่วงนี้ยังมีกระแสข่าวการปฏิวัติ ออกมาเนือง ๆ นั้น เป็นการปล่อยข่าวกันเรื่อย ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา ถือว่ามีตัวบุคคลที่ชัดเจนของแต่ละพื้นที่ และมีเพิ่มขึ้นมาเช่น จ.สุพรรณบุรี อ่างทอง พิจิตร อุทัยธานี นครสวรรค์
นาย ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ส.ส. พิจิตร พรรคชาติไทยพัฒนา เขต 4 ที่ย้ายมาจาด เขต 3 กล่าวว่า ตนเองไม่หนักใจอะไร แม้รู้ว่า จะต้องลงแข่งกับ นายนาวิน บุญเสรฐ คนของพรรคเพื่อไทย อีกทั้งที่มีกระแสข่าวออกมาในเรื่องของ มีการปลุกกระแสคนพิจิตรให้เลือก พรรคเพื่อไทย ซึ่ง เป็นเสื้อแดง ในการเลือกตั้ง เพราะว่า เสื้อแดงพิจิตรนั้น มีน้อย มาก และ คนพิจิตรนั้น เป็นกลางอยู่แล้ว เ

*ชัย ปัดคุย “นายกฯ”เรื่องวันยุบสภา
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ กล่าวว่าขณะนี้ตนยังไม่ได้หารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงวันยุบสภา เพราะมองว่าเป็นเรื่องลับเฉพาะบุคคล อย่างไรก็ตามสำหรับข่าวที่ระบุวันที่นายกจะยุบสภานั้น ตนไม่เชื่อทั้งนั้น แต่จะยึดคำโปรดเกล้าฯ สำหรับงานสภาพบว่ามีกฎหมายที่ค้างอยู่ 112 ฉบับ ดังนั้นตนเตรียมเสนอให้เพิ่มวันประชุม จากเดิมประชุมในวันพุธและพฤหัส ให้เป็นตั้งแต่วันอังคาร - วันศุกร์
ส่วนกระแสข่าวกกต.จะลาออก หากสภาไม่สามารถพิจารณากฎหมายลูกได้ทัน ว่า ถือเป็นเอกสิทธิ์ส่วนบุคคล และที่พรรคภูมิใจไทยบอกว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง นายชัย กล่าวว่า คนของพรรคภูมิใจไทยไม่เคยมี มีแต่พรรคการเมืองอื่นเท่านั้น เป็นพรรคที่ไม่อยากให้มีเลือกตั้ง

**มทภ. 1 ย้ำไม่มีปฏิวัติ-รับเลือกตั้ง
พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พูดชัดเจนว่า กองทัพจะสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งตามที่รัฐบาลกำหนด กำลังพลก็พร้อมสนับสนุนการเลือกตั้ง เท่าที่จะสามารถทำได้ตามกรอบที่เหมาะสม ส่วนกระแสข่าวการปฏิวัติที่มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงก่อนการเลือกตั้ง แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ผบ.ทบ.พูดชัดเจนแล้วว่า กองทัพพร้อมสนับสนุนการเลือกตั้ง จะไม่มีการปฏิวัติแน่นอน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ ผบ.ทบ.ออกมายืนยันด้วยตัวเอง แต่อยากฝากไปถึง ผบ.ทบ.ด้วยว่า จะต้องดูแลกำลังพลในบางส่วน บางคนที่ยังคงสนับสนุนพรรคแกนนำรัฐบาลบางพรรคอยู่ด้วย ส่วนกรณีที่ระบุว่า ทหารเข้าได้กับทุกพรรคการเมืองนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อพรรคการเมืองไหนที่ได้เสียงข้างมากและได้จัดตั้งรัฐบาล ทหารก็ต้องสามารถร่วมทำงานกับพรรคการเมืองนั้นๆ ได้

**ทูตสหรัฐเข้าพบหัวหน้าเพื่อไทย
ที่พรรคเพื่อไทย นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเดินทางเข้าพบนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยมีนายยงยุทธ และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้การต้อนรับ
นางคริสตี้ ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงมามาเยี่ยมคารวะและถือโอกาสสอบถามถึงเรื่องการเลือกตั้งของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเดินทางไปพบกับหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นๆ อีกด้วย เพราะต้องการที่จะสร้างความเข้าใจเรื่องการเมืองในประเทศไทย โดยยอมรับว่าศึกษาการเมืองในประเทศไทยมาเล็กน้อย แต่ไม่ว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้นใครจะได้รับชัยชนะ สหรัฐอเมริกาก็ยังคงเป็นเพื่อนกับประเทศไทย
นายพร้อมพงศ์ แถลงว่า นางคริสตีได้สอบถามถึงทิศทางทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย โดยนายยงยุทธได้ชี้แจงว่า พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมผู้สมัคร ส.ส.ทั้งระบบเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว หากมีการประกาศยุบสภาก็พร้อมจะเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ได้ทันที ทั้งนี้ นางคริสตียังได้ชื่นชมด้วยว่า ได้ดำเนินการทางการเมืองให้เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย รวมทั้งยังได้อวยพรให้พรรคได้รับชัยชนะ

**หน่อยยินดี “ปุระชัย”เป็นทางเลือกใหม่
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการตั้งพรรคประชาสันติ ว่า ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการสร้างทางเลือกให้กับประชาชน ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นต้องยอมรับว่าพื้นที่ กทม. เป็นพื้นที่ที่แข่งขันในแง่ของกระแส ดังนั้นหากพรรคเพื่อไทยนำนโยบายสมัยพรรคไทยรักไทยกลับมาทบทวน ก็เชื่อว่าจะสามารถเรียกคะแนน และสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่กทม.ในขณะนี้ได้ ส่วนตัวบุคคลต้องพิจารณาคุณสมบัติ ต้องมีการนำเสนอผู้นำกลุ่มที่มีความรู้ความสามารถ เช่น หากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องมีผู้นำกลุ่มย่อย ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น กลุ่มเศรษฐกิจ กลุ่มเด็ก และสตรี หรือกลุ่มงานด้านสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและทำให้เห็นว่าแก้ไขปัญหาได้จริง

**นปช.เชิญต่างประเทศ สังเกตเลือกตั้ง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.กล่าวว่า ตนได้ประสานองค์กรสิทธิมนุษยชนและติดตามสังเกตการณ์การเลือกตั้งจากต่างประเทศให้มาติดตามและสังเกตุการณ์การเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่การณรงค์ไปจนถึงการนับคะแนน โดยทุกอย่างจะดีเดย์ในต้นเดือนเม.ย. กรณีที่พล.อ.ประยุทธ ฉวยโอกาสใช้เหตุตัวเงินตัวทองบุกกองบัญชาการกองทัพบก ว่า ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งนั้น ขอชื่มชมว่าผบ.ทบ.เลือกสถานการณ์เหมาะสมและฉวยโอกาสทางการเมืองอย่างน่าสนใจ หากผบ.ทบ.ยืนยันว่ามีการเลือกตั้งแน่นอนนั้น ขอให้ยืนยันเพิ่มว่าหากผลการเลือกตั้งออกมาเช่นใด ต้องยอมรับเจตนารมณ์ของประชาชน ทุกคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวว่า ใครชนะตั้งรัฐบาล ขอถามว่ากล้าพูดแบบนี้หรือไม่

**ตร.มอบ“ภานุพงศ์”เข้มเลือกตั้ง
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. กล่าวว่า ช่วงการเลือกตั้งได้สั่งการให้พล.ต.อ.ภานุพงศ์ สิงหรา รอง ผบ.ตร. ดูแลเรื่องเหตุที่จะก่อความรุนแรง โดยไปสืบหาข่าว กับกลุ่มหัวคะแนน หรือผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ที่จะก่อเหตุในลักษณะอย่างที่ว่า เพื่อขจัดคู่แข่งขันทางการเมือง หรือถึงขั้นทำร้ายร่างกายและทำลายชีวิตกัน ซึ่งต้องเรียกเข้าไป บังคับยับยั้ง หรือเข้าไปตรวจสอบสแกน และขณะนี้ก็เริ่มสแกนแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
ส่วนจะมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ฯ ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเลือกตั้งหรือไม่นั้น จากนี้ไปเมื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ที่มีการกำหนดวันที่แน่นอน ก็จะทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายลง

**ปูดแม้ววาง“เพรียวพันธ์”รอนั่งรมต.
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า มีแนวโน้มว่าหากได้จัดตั้งรัญบาลบุคคลในครอบครัวชินวัตรจะเข้ามาร่วมงานเช่น พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำ รวจแห่งชาติ และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ถึงขั้นเป็นรัฐมนตรี
ส่วนกระแสข่าวว่าพรรคจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรคเล็กน้อย โดยเฉพาะในส่วนของตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ซึ่งขณะนี้มีอยู่ทั้งหมด 14 คน จะปรับเปลี่ยนให้เหลือไม่เกิน 10 คน แต่จะไปเพิ่มตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค ซึ่งปัจจุบันมีเพียง 3 คนโดยอาจเพิ่มขึ้นเป็น 5-6 คน แทนนั้น แต่ปรากฏว่า ส.ส.ในกลุ่มของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย พยายามที่จะเสนอให้มีการปรับโครงสร้างพรรค โดยต้องการที่จะให้มีการชูนายมิ่งขวัญเป็นหัวหน้าพรรค แต่เรื่องนี้ถูกพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ห้ามเอาไว้
กำลังโหลดความคิดเห็น