xs
xsm
sm
md
lg

การอภิปรายรัฐบาล : “มุ่งเน้นทำลาย!”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

“ศึกซักฟอก-อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล” ก็จบหมดสิ้นภารกิจของเหล่าบรรดา “คอการเมือง” กันไปเรียบร้อย และก็ขอสรุปเบื้องต้นได้เลยว่า “เลวร้าย-หยาบคาย” มากกว่าเดิมในอดีตไม่รู้กี่เท่าตัว!

จากการได้เฝ้าติดตามบ้าง ไม่ได้ติดตามบ้าง ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 9 คน บวกกับนายกรัฐมนตรีนั้น วันแรกดูท่าว่าจะไปด้วยดี แต่บังเอิญมาเจอกับนายสุนัย จุลพงศธร ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แบบไม่บันยะบันยัง ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับสามีรัฐมนตรี พรทิวา ที่บอกว่า “รักใคร่” จนหลังการชี้แจงของรัฐมนตรีพรทิวา นาคาศัย จบจนได้มีการกล่าวว่า “นี่ ขนาดบอกว่ารักใคร่กันกับสามีนะเนี่ย!”

การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ต้องเรียนตามตรงว่า “พัฒนาเชิงลบ” จากที่ไม่เคยมีการกล่าวคำว่า “กู-มึง” และเรื่อยมาจนถึง คำว่า “สุนัย-สุนัข” ตลอดจนคำว่า “หมาบ้า” และเลยเถิดไปจนถึงการใช้คำว่า “พ่อมึงเหรอ!”

ต้องเรียนตามตรงว่า “หยายคายที่สุด!” เท่าที่ได้มีการอภิปรายซักฟอกรัฐบาลกันมา หรือพูดตามตรง “ไม่เคยมีครั้งใดเลวร้ายหยาบคายเท่าครั้งนี้” และที่สำคัญคือ อภิปรายกันทีเดียว 4 วันเต็มๆ จนประชาชนคนทั่วไปนั้นไม่ได้ติดตามดูมากมายซักเท่าไหร่หรอก เนื่องด้วยเปิดโทรทัศน์ดูถ่ายทอดสดไม่เกิน 15-20 นาที ต้องเจอ “การประท้วง” ทุกครั้งไป!

การโจมตีรัฐบาลของฝ่ายค้านนั้น ถ้าใครไม่ได้ติดตามสถานการณ์บ้านเมือง ก็อาจจะหลงใหลคลั่งไคล้ได้ปลื้มไปกับ “ข้อกล่าวหา” ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า “ใส่สีตีไข่” มีทั้งข้อมูลจริงและข้อมูลเท็จ ที่ช่วยสร้างสีสันให้กับการอภิปราย

อย่างไรก็ตาม มีนักการเมืองเกิดใหม่หลายคน ที่ได้มีโอกาสอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่อภิปรายวันสุดท้ายช่วงเที่ยงทอดยาวไปจบเอาช่วงบ่ายโมงกว่าๆ ที่ต้องชื่นชมว่าอภิปรายได้ดีทีเดียว และอีกหลายคน

ทั้งนี้ เมื่อมีดีก็ต้องมีเลว ที่บังเอิญเป็น “แกนนำเสื้อแดง-นปช.” ที่ต้องขอสารภาพว่า ฟังการอภิปรายทั้งต่อนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณนั้น ฟังดูน่าเชื่อถือแต่แอบแฝงด้วยเนื้อหาสาระที่เท็จและปรุงแต่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้ว สาธารณชนต่างตระหนักดีว่า “นายหัวเกรียนนี่โกหกเก่ง!”

ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ถ้าเราแยกแยะให้ออกว่า “สีสันการเมือง” นั้น เป็นปกติที่บรรดานักการเมืองบางคนยังคงจมปลักอยู่กับ “น้ำเน่า” และจะเอาชนะคะคานด้วยการเสกสรรค์คำพูด พร้อมหลักฐานที่ปั้นแต่งให้ดูเสมือนจริง น่าเชื่อถือ แล้วแยกเอา “สาระ” ที่เป็นประโยชน์นำมา “สังเคราะห์” และก็ “วิเคราะห์” ในที่สุด แน่นอนว่า “ประชาชนได้ประโยชน์มหาศาล”

การอภิปรายซักฟอกรัฐบาลนับว่าเป็น “กระบวนการ” ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ฝ่ายค้านสามารถเสนอญัตติอภิปรายรัฐบาลได้ ตั้งข้อกล่าวหาได้ พร้อมกันนี้รัฐบาลก็สามารถชี้แจงตอบโต้ได้เช่นเดียวกัน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของทั้ง “วัฒนธรรม” และ “อารยธรรม” ที่แน่นอน “สูงกว่าที่เป็นอยู่!”

ในนานาอารยประเทศที่พัฒนาเจริญแล้ว “พฤติกรรมนักการเมือง” สูงกว่านี้มาก คำหยาบคายทะเลาะนั้นไม่เคยเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บางประเทศอย่างไต้หวันและเกาหลีใต้นั้น ยังคงดุเดือดเลือดพล่านมากกว่าบ้านเรา ด้วย “การชกต่อย-ยกพวกตีกัน” ด้วยซ้ำ ดังนั้นเราก็ยังไม่น่าจะเลวร้ายเพียงนั้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม บรรยากาศทางการเมืองของเรา น่ามั่นใจว่าจะพัฒนาสู่จุดนั้น แน่นอนถ้า “ความเกลียดชัง” ระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จนก่อให้เกิด “ฝ่ายแค้น” และที่สำคัญคือ “ความเกลียดชัง” ที่ยังค่อยๆ ปะทุและยั่วยุจากภายนอก และ “กีฬาสี” จะมิใช่กีฬาต่อไป แต่จะระเบิดเป็น “สงคราม!”

ทั้งนี้ การอภิปรายของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ นั้น นับว่า พัฒนาขึ้นมากจนเห็นได้ชัดว่า “คารมคมคาย-ลีลา” น่าจะเดินหน้าต่อไปได้ในสนามการเมือง เพียงแต่ต้องเก็บรักษาลักษณะเช่นนี้ พร้อมพัฒนาให้ดีขึ้น “อย่างเป็นกลาง-อย่างเป็นธรรม” มิใช่เดินเกาะขอบสนามอย่างที่กระทำมาโดยตลอดกับ “ระบบอุปถัมภ์”

การที่ฝ่ายค้านมิได้รับคะแนนนิยมจากคนทั่วไป ที่ขอย้ำว่า “มีความรู้ความเข้าใจ” อย่างดีกับกระบวนการทางการเมืองทั้งหมด หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ก็หมายความว่า สาเหตุสำคัญของ “ปัญหาบ้านเมือง” เรานั้น มิได้เกิดความรุนแรงใดๆ เลยในอดีต เพียงแต่ว่าหลังจากที่ “ธุรกิจการเมืองเชิงยึดอำนาจ” ของคุณทักษิณ ชินวัตร และคณะนั้น ต้องเรียนว่า “น่ากลัวมาก!” จนเกิดความไม่สมดุลของอำนาจทางการเมือง จนก่อให้เกิดเหตุการณ์ขั้นรุนแรงของบ้านเมืองเมื่อกลางปี 2553

ขอย้ำว่า การซักฟอกรัฐบาลในครั้งนี้ เพื่อเรียกคะแนนนิยมคืนจากสังคม เพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งน่าเชื่อว่าประมาณเดือนกรกฎาคมที่คะแนนน่าจะสูสีกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ที่จะอยู่ระหว่าง 200-230 ของทั้งสองพรรค เพราะฉะนั้นพรรคที่อยู่ตรงกลางอย่าง พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา จะเป็น “ตัวแกว่ง” สำคัญ

การอภิปรายได้จบสิ้นลงแล้ว และคะแนนก็เป็นไปผิดความคาดหมาย ที่คุณพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีพาณิชย์ได้คะแนนสูงสุด 251 เสียง ชนะนายกฯ อภิสิทธิ์ เสียอีก น่าจะเป็นเพราะความจริงใจในการตอบโต้ชี้แจง แต่ถึงอย่างไร รัฐบาลก็เสียงชนะดังคาด มีเพียงนายศุภชัย โพธิ์สุ ได้คะแนนบ๊วยสุด

นับแต่นี้ไป “กลองรบ” จะถูกรัวขึ้นเพื่อการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมนี้ และขอฟันธงได้เลยว่า ถึงแม้คะแนนรัฐบาลชนะศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เมื่อกลุ่มประชาชนเลือกแล้วว่า “พรรคใด” พรรคนั้นก็จะชนะหรือแพ้อยู่ที่ “เงิน” กับ “อำนาจการเมือง” ที่ใครจะมีมากกว่ากัน!
กำลังโหลดความคิดเห็น