ASTVผู้จัดการรายวัน – กระทรวงการคลังยันภัยพิบัติญี่ปุ่นไม่กระทบหนี้เงินเยนของไทยกว่า 6 แสนล้านเยน มั่นใจรัฐบาลญี่ปุ่นไม่เรียกหนี้คืนก่อนกำหนดเพื่อฟื้นฟูประเทศ เหตุทุนสำรองมาก-พิมพ์แบงก์เข้าระบบทำได้รวดเร็วกว่า แต่อาจกระทบการลงนามสัญญาเงินกู้งวดใหม่ของรถไฟฟ้าสายสีม่วงบ้าง
นายสุวิชญ โรจนวานิช รองผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงที่สร้างเสียหายทางเศรษฐกิจให้ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ ทางญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เงินในการเข้าไปแก้ปัญหาและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน แต่ทางญี่ปุ่นไม่มีนโยบายจะเรียกหนี้คืนจากประเทศลูกหนี้ให้ชำระหนี้เร็วขึ้น รวมทั้งประเทศไทยด้วยแม้ว่าไทยจะเป็นลูกหนี้รายใหญ่ก็ตาม
โดยปัจจุบันไทยมีหนี้สกุลเงินเยนกว่า 6.21 แสนล้านเยนหรือคิดเป็นสัดส่วน 60-65% ของหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศของไทย ซึ่งสวนใหญ่เป็นเงินกู้ลักษณะผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีระยะยาว 20-30 ปี โดยมองว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวทางการแก้ปัญหาอยู่แล้ว โดยเฉพาะการใช้เงินนั้นไม่น่าจะใช้ปัญหาใหญ่เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศมีทุนสำรองทางการมหาศาล และสามารถใช้วิธีพิมพ์เงินเยนเข้าระบบได้เหมือนที่สหรัฐดำเนินการ เนื่องจากเงินเยนเป็นสกุลหลักของโลกเช่นกัน
“แนวทางการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจน่าจะเป็นการแก้ปัญหาได้เร็วกว่าการจะมาเรียกหนี้คืนจากประเทศลูกหนี้ที่มีอยู่ทั่วโลก และที่ผ่านมาญี่ปุ่นก็ไม่เคยทำแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงแค่ไหนก็ตาม แม้การพิมพ์เงินออกมาจะทำให้เงินเยนยิ่งแข็งค่าขึ้นก็สามารถไปแก้ไขในภายหลังได้ตอนนี้คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน นอกจากนั้นเงินกู้สกุลเงินเยนต่างๆส่วนใหญ่ยังไมครบกำหนดชำระคืนและมีภาระดอกเบี้ย 1-2 % ซึ่งทางญี่ปุ่นคงไม่อยากดึงกลับไปเพราะดอกเบี้ยในประเทศลดลงไปต่ำมากไม่ถึง 0.5%" นายสุวิชญ กล่าวและว่าการที่นานชาติร่วมบริจาคเงินให้ญี่ป่นรวมทั้งไทยด้วยนั้นถือเป็นเงินเล็กน้อยมากแต่เป็นการแสดงน้ำใจความช่วยเหลือในฐานะที่มีความสัมพันธ์กันมายาวนานและญี่ปุ่นก็ให้ความช่วยเหลือไทยอย่างดีมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตามแม้ปัญหาของประเทศญี่ปุ่นจะไม่ระทบกับเงินกู้เดิมของไทย แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อเงินกู้งวดใหม่ให้ล่าช้าไปบ้าง โดยเฉพาะเงินกู้จากไจก้า เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นต้องจัดการความเรียบร้อยในประเทศก่อน เช่น การลงนามในสัญญาเงินกู้ฉบับสุดท้ายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรํบที่จะต้องลงนามในปีนี้ประกอบกับการดำเนินโครงการของไทยเองที่ยังล่าช้าก็อาจจะเลื่อนไปลงนามปีหน้าแทน ส่วนการเบิกจ่ายเงินในสัญญาที่ลงนามก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเบิกได้ 20% เท่านั้น ซึ่งหากงานคืบหน้าและจะเบิกจากแหล่งเงินกู้ทางไจก้าก็คงไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงสายสีแดงที่ใช้เงินกู้จากญี่ปุ่นเช่นกันอีก 300 ล้านเหรียญที่ลงนามในสัญญาไปก่อนหน้านี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเบิกจ่ายเงินแต่อย่างใด ซึ่งทางญี่ปุ่นไม่มีความประสงค์จะระงับเงินกู้และพร้อมผลักดันให้โครงการเดินหน้าโดยเร็ว
นายสุวิชญ โรจนวานิช รองผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงที่สร้างเสียหายทางเศรษฐกิจให้ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ ทางญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เงินในการเข้าไปแก้ปัญหาและฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน แต่ทางญี่ปุ่นไม่มีนโยบายจะเรียกหนี้คืนจากประเทศลูกหนี้ให้ชำระหนี้เร็วขึ้น รวมทั้งประเทศไทยด้วยแม้ว่าไทยจะเป็นลูกหนี้รายใหญ่ก็ตาม
โดยปัจจุบันไทยมีหนี้สกุลเงินเยนกว่า 6.21 แสนล้านเยนหรือคิดเป็นสัดส่วน 60-65% ของหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศของไทย ซึ่งสวนใหญ่เป็นเงินกู้ลักษณะผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีระยะยาว 20-30 ปี โดยมองว่ารัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวทางการแก้ปัญหาอยู่แล้ว โดยเฉพาะการใช้เงินนั้นไม่น่าจะใช้ปัญหาใหญ่เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศมีทุนสำรองทางการมหาศาล และสามารถใช้วิธีพิมพ์เงินเยนเข้าระบบได้เหมือนที่สหรัฐดำเนินการ เนื่องจากเงินเยนเป็นสกุลหลักของโลกเช่นกัน
“แนวทางการพิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจน่าจะเป็นการแก้ปัญหาได้เร็วกว่าการจะมาเรียกหนี้คืนจากประเทศลูกหนี้ที่มีอยู่ทั่วโลก และที่ผ่านมาญี่ปุ่นก็ไม่เคยทำแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงแค่ไหนก็ตาม แม้การพิมพ์เงินออกมาจะทำให้เงินเยนยิ่งแข็งค่าขึ้นก็สามารถไปแก้ไขในภายหลังได้ตอนนี้คงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน นอกจากนั้นเงินกู้สกุลเงินเยนต่างๆส่วนใหญ่ยังไมครบกำหนดชำระคืนและมีภาระดอกเบี้ย 1-2 % ซึ่งทางญี่ปุ่นคงไม่อยากดึงกลับไปเพราะดอกเบี้ยในประเทศลดลงไปต่ำมากไม่ถึง 0.5%" นายสุวิชญ กล่าวและว่าการที่นานชาติร่วมบริจาคเงินให้ญี่ป่นรวมทั้งไทยด้วยนั้นถือเป็นเงินเล็กน้อยมากแต่เป็นการแสดงน้ำใจความช่วยเหลือในฐานะที่มีความสัมพันธ์กันมายาวนานและญี่ปุ่นก็ให้ความช่วยเหลือไทยอย่างดีมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตามแม้ปัญหาของประเทศญี่ปุ่นจะไม่ระทบกับเงินกู้เดิมของไทย แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อเงินกู้งวดใหม่ให้ล่าช้าไปบ้าง โดยเฉพาะเงินกู้จากไจก้า เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นต้องจัดการความเรียบร้อยในประเทศก่อน เช่น การลงนามในสัญญาเงินกู้ฉบับสุดท้ายของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงวงเงิน 100 ล้านเหรียญสหรํบที่จะต้องลงนามในปีนี้ประกอบกับการดำเนินโครงการของไทยเองที่ยังล่าช้าก็อาจจะเลื่อนไปลงนามปีหน้าแทน ส่วนการเบิกจ่ายเงินในสัญญาที่ลงนามก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเบิกได้ 20% เท่านั้น ซึ่งหากงานคืบหน้าและจะเบิกจากแหล่งเงินกู้ทางไจก้าก็คงไม่มีปัญหาอะไร รวมถึงสายสีแดงที่ใช้เงินกู้จากญี่ปุ่นเช่นกันอีก 300 ล้านเหรียญที่ลงนามในสัญญาไปก่อนหน้านี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเบิกจ่ายเงินแต่อย่างใด ซึ่งทางญี่ปุ่นไม่มีความประสงค์จะระงับเงินกู้และพร้อมผลักดันให้โครงการเดินหน้าโดยเร็ว