ASTVผู้จัดการรายวัน – “เพียว เพลส” ไปได้สวย สัมมากรได้ใจเปิดสาขา 3 หลังประสบความสำเร็จจากการนำที่ดินหน้าโครงการสัมมากรผุดคอมมูนิตี้มอลล์ ล่าสุดเปิดแห่ง 3 ราชพฤกษ์ รับค้าปลีกชานเมืองโต ตั้งเป้า 5 ปีเปิด 5 แห่งทั่วกรุง พร้อมเปิดกว้างไม่เฉพาะหน้าโครงการสัมมากร
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท เพียว สัมมากร ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัดเปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายในการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก หรือคอมมูนิตี้มอลล์ภายใต้ชื่อเพียว เพลส จำนวน 5 แห่งภายใน 5 ปี จากที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 2 แห่ง ย่านรังสิต-คลอง 2 และรามคำแหง 101 ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการเพียว เพลส ราชพฤกษ์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านสัมมากร ราชพฤกษ์ บริษัทใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท มีพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางเมตร พร้อมที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 11 พ.ย. ปีนี้ โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากการเช่าพื้นที่ค้าปลีก 2 โครงการประมาณ 70-80 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการศึกษาตลาดค้าปลีกในปีที่ผ่านมา พบว่า ค้าปลีกย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก เนื่องจากการขยายตัวของที่อยู่อาศัยไปยังบริเวณชานเมือง และเมื่อเทียบอัตราการเช่าแล้ว ค้าปลีกชานเมืองมีสัดส่วนสูงถึง 95% ขณะที่ค้าปลีกบริเวณใจกลางเมือง มีอัตราการเช่าอยู่ที่ 91%
สำหรับการลงทุนในโครงการเพียวเพลส จะเน้นทำเลชานเมืองที่ใกล้แหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในย่านนั้นๆ โดยขนาดการลงทุนจะต้องไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท หรือมีขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตร จนถึง 10,000 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับความต้องการในย่านนั้นๆ และจะเปิดกว้างกับทุกทำเลไม่จำกัดเฉพาะหน้าโครงการหมู่บ้านของสัมมากรเหมือน 3 สาขาที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นลักษณะการเช่าที่ดินเพื่อลงทุนมากกว่าการซื้อ ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า
ทางด้านธุรกิจที่อยู่อาศัยปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่ในบริเวณราชพฤกษ์เพิ่มอีก 1 โครงการ พร้อมเปิดเฟสที่ 2 จากทั้งหมด 4 เฟสในโครงการ อควา ดิวิน่า บาย สัมมากรทำเลรามคำแหง ซอย 94 ราคา 6.5 ล้านบาท จำนวน 35 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หลังจากที่เฟสแรก จำนวน 40 ยูนิต ปิดการขายได้แล้ว 70% โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายที่อยู่อาศัยไว้ที่ 930 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 880 ล้านบาท เติบโต 10%
ในส่วนของราคาบ้านในเฟส 2 นี้เป็นการก่อสร้างบนราคาต้นทุนที่มีการปรับขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ต้องขยับราคาประมาณ 5% อย่างไรก็ตามบริษัทพยายามบริหารต้นทุนต่างๆ เพื่อควบคุมไม่ให้ต้องปรับสูงเกินไป เพราะการแข่งขันสูงการปรับราคาไปมากเกินไปอาจมีผลต่อยอดขายได้
“ปัจจุบันสัมมาการมีสต๊อกบ้านหมุนเวียนอยู่ประมาณ 40 ยูนิตต่อเดือน จากทั้งหมด 9 โครงการที่เปิดขายในปัจจุบัน โดย
ปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดูนิ่งๆ เพราะปัจจัยลบ ค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากงานมหกรรมบ้านและคอนโด จะปรับตัวดีขึ้น” นายปราโมทย์ กล่าว
นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท เพียว สัมมากร ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัดเปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายในการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็ก หรือคอมมูนิตี้มอลล์ภายใต้ชื่อเพียว เพลส จำนวน 5 แห่งภายใน 5 ปี จากที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 2 แห่ง ย่านรังสิต-คลอง 2 และรามคำแหง 101 ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการเพียว เพลส ราชพฤกษ์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้านสัมมากร ราชพฤกษ์ บริษัทใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท มีพื้นที่ประมาณ 4,000 ตารางเมตร พร้อมที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 11 พ.ย. ปีนี้ โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้จากการเช่าพื้นที่ค้าปลีก 2 โครงการประมาณ 70-80 ล้านบาท และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการศึกษาตลาดค้าปลีกในปีที่ผ่านมา พบว่า ค้าปลีกย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก เนื่องจากการขยายตัวของที่อยู่อาศัยไปยังบริเวณชานเมือง และเมื่อเทียบอัตราการเช่าแล้ว ค้าปลีกชานเมืองมีสัดส่วนสูงถึง 95% ขณะที่ค้าปลีกบริเวณใจกลางเมือง มีอัตราการเช่าอยู่ที่ 91%
สำหรับการลงทุนในโครงการเพียวเพลส จะเน้นทำเลชานเมืองที่ใกล้แหล่งชุมชนที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในย่านนั้นๆ โดยขนาดการลงทุนจะต้องไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท หรือมีขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตร จนถึง 10,000 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับความต้องการในย่านนั้นๆ และจะเปิดกว้างกับทุกทำเลไม่จำกัดเฉพาะหน้าโครงการหมู่บ้านของสัมมากรเหมือน 3 สาขาที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นลักษณะการเช่าที่ดินเพื่อลงทุนมากกว่าการซื้อ ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า
ทางด้านธุรกิจที่อยู่อาศัยปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่ในบริเวณราชพฤกษ์เพิ่มอีก 1 โครงการ พร้อมเปิดเฟสที่ 2 จากทั้งหมด 4 เฟสในโครงการ อควา ดิวิน่า บาย สัมมากรทำเลรามคำแหง ซอย 94 ราคา 6.5 ล้านบาท จำนวน 35 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หลังจากที่เฟสแรก จำนวน 40 ยูนิต ปิดการขายได้แล้ว 70% โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายที่อยู่อาศัยไว้ที่ 930 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 880 ล้านบาท เติบโต 10%
ในส่วนของราคาบ้านในเฟส 2 นี้เป็นการก่อสร้างบนราคาต้นทุนที่มีการปรับขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ต้องขยับราคาประมาณ 5% อย่างไรก็ตามบริษัทพยายามบริหารต้นทุนต่างๆ เพื่อควบคุมไม่ให้ต้องปรับสูงเกินไป เพราะการแข่งขันสูงการปรับราคาไปมากเกินไปอาจมีผลต่อยอดขายได้
“ปัจจุบันสัมมาการมีสต๊อกบ้านหมุนเวียนอยู่ประมาณ 40 ยูนิตต่อเดือน จากทั้งหมด 9 โครงการที่เปิดขายในปัจจุบัน โดย
ปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 800 ล้านบาท ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดูนิ่งๆ เพราะปัจจัยลบ ค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากงานมหกรรมบ้านและคอนโด จะปรับตัวดีขึ้น” นายปราโมทย์ กล่าว
