ASTVผู้จัดการรายวัน - “อีซี่ทรัส” ยืนราคาขายโครงหลังคาสำเร็จรูป ช่วยลูกค้าลดต้นทุนบ้าน แม้ราคาเหล็กปรับตัวกว่า20% ยอมรับ2เดือนแรกยอดขายหดตัวกว่า20% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พร้อม เตรียมแคมเปญพิเศษกระตุ้นยอดขายในช่วงกลางปีหากยอดขายไม่กระเตื้อง ยอมรับลูกค้ารับสร้างบ้ายยังนิยมใช้หลังคาสร้างเองเหตุต้นทุนต่ำกว่า10%
นายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮาส์ เฟรนด์ ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปภายใต้ “อีซี่ทรัส” กล่าวว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาเหล็กรีดเย็น และเหล็กรูปพรรณมีการปรับตัวสูงขึ้นไปกว่า20% แล้วส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย นอกจากนี้สถานการณ์ของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ไม่สงบทางการเมืองของประเทศลิเบีย ซึ่งถือว่า เป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ทำให้ราคาน้ำมันทยอยปรับตัวขึ้นยังส่งผลต่อราคาเหล็กให้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาเหล็กในตลาดโลกจะมีการปรับตัวขึ้นแต่บริษัทจะยืนยันว่าจะยังไม่มีการปรับราคาขายโครงหลังคาสำเร็จรูปขึ้นตามต้นทุนใหม่ เนื่องจากต้องการช่วยลูกค้าประครองต้นทุนก่อสร้างบ้าน ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ตลาดเหล็กยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส3ของปีนี้ บริษัทจะมีการประเมินสถานการณ์ต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างใหม่อีกครั้งเพื่อพิจารณาปรับราคาขึ้นหรือยืนราคาต่อสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
“ บริษัทฯ ของเราจะยังไม่มีการปรับราคาขึ้น เหตุผลต้องการช่วยลูกค้าไม่ให้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในการอิงราคาบ้านทั้งหลัง ยกตัวอย่าง บริษัทรับสร้างบ้านได้ไปเจรจางานให้กับลูกค้าช่วงมกราคม แต่ถ้าเราไปปรับราคาช่วง มีนาคม-เมษายน นั้น บริษัทลูกค้าได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะขณะนี้ราคาขายของบริษัทฯ จะอยู่ที่ 500 บาทต่อตารางเมตร”
นายสรพล กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูปในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะยอดขายของบริษัทฯ นั้นมียอดขายลดลงประมาณ 20% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทลูกค้าบริษัทรับสร้างซึ่งเป็นลูกค้าหลักยังมีเพียง 10 รายเท่านั้น ที่ใช้สินค้าของบริษัท ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างพฤติกรรมการเลือกใช้โครงหลังสำเร็จรูปให้เพิ่มมากขึ้นในตลาด บริษัทจึงต้องใช้เวลาระยะในการเจาะตลาดกลุ่มรับสร้างบ้านทั้งหมด โดยบริษัทฯ ยังคงเน้นสร้างการรับรู้นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านได้มีความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น
“ต้องยอมรับว่า บริษัทรับสร้างบ้านส่วนมากนิยมใช้วัสดุโครงหลังคาแบบเชื่อม หรือหลังคาส้รางเอง ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม เพราะหากเปรียบเทียบราคาของโครงหลังคาสำเร็จกับโครงหลังคาแบบเชื่อมเองนั้น สินค้าของ บริษัทฯ จะมีราคาที่สูงกว่า 10% ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านยังนิยมใช้หลังคาแบบเก่า ดังนั้นเพื่อเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า ให้มาใช้โครงหลังคาสำเร็จรูปมากขึ้น บริษัทจำเป็นต้องใช้เวลาในการให้ความรู้และเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อลูกค้าให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมากขึ้นจะทำให้มีการใช้สินค้าบริษัทมากขึ้น”
นายสรพล คงรอด กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮาส์ เฟรนด์ ลี่ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปภายใต้ “อีซี่ทรัส” กล่าวว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาราคาเหล็กรีดเย็น และเหล็กรูปพรรณมีการปรับตัวสูงขึ้นไปกว่า20% แล้วส่งผลให้ต้นทุนการผลิตโครงหลังคาสำเร็จรูปของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย นอกจากนี้สถานการณ์ของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ไม่สงบทางการเมืองของประเทศลิเบีย ซึ่งถือว่า เป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ทำให้ราคาน้ำมันทยอยปรับตัวขึ้นยังส่งผลต่อราคาเหล็กให้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาเหล็กในตลาดโลกจะมีการปรับตัวขึ้นแต่บริษัทจะยืนยันว่าจะยังไม่มีการปรับราคาขายโครงหลังคาสำเร็จรูปขึ้นตามต้นทุนใหม่ เนื่องจากต้องการช่วยลูกค้าประครองต้นทุนก่อสร้างบ้าน ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ตลาดเหล็กยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส3ของปีนี้ บริษัทจะมีการประเมินสถานการณ์ต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างใหม่อีกครั้งเพื่อพิจารณาปรับราคาขึ้นหรือยืนราคาต่อสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
“ บริษัทฯ ของเราจะยังไม่มีการปรับราคาขึ้น เหตุผลต้องการช่วยลูกค้าไม่ให้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในการอิงราคาบ้านทั้งหลัง ยกตัวอย่าง บริษัทรับสร้างบ้านได้ไปเจรจางานให้กับลูกค้าช่วงมกราคม แต่ถ้าเราไปปรับราคาช่วง มีนาคม-เมษายน นั้น บริษัทลูกค้าได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะขณะนี้ราคาขายของบริษัทฯ จะอยู่ที่ 500 บาทต่อตารางเมตร”
นายสรพล กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ตลาดโครงหลังคาสำเร็จรูปในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานั้น โดยเฉพาะยอดขายของบริษัทฯ นั้นมียอดขายลดลงประมาณ 20% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากในปัจจุบัน บริษัทลูกค้าบริษัทรับสร้างซึ่งเป็นลูกค้าหลักยังมีเพียง 10 รายเท่านั้น ที่ใช้สินค้าของบริษัท ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างพฤติกรรมการเลือกใช้โครงหลังสำเร็จรูปให้เพิ่มมากขึ้นในตลาด บริษัทจึงต้องใช้เวลาระยะในการเจาะตลาดกลุ่มรับสร้างบ้านทั้งหมด โดยบริษัทฯ ยังคงเน้นสร้างการรับรู้นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านได้มีความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น
“ต้องยอมรับว่า บริษัทรับสร้างบ้านส่วนมากนิยมใช้วัสดุโครงหลังคาแบบเชื่อม หรือหลังคาส้รางเอง ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม เพราะหากเปรียบเทียบราคาของโครงหลังคาสำเร็จกับโครงหลังคาแบบเชื่อมเองนั้น สินค้าของ บริษัทฯ จะมีราคาที่สูงกว่า 10% ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านยังนิยมใช้หลังคาแบบเก่า ดังนั้นเพื่อเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า ให้มาใช้โครงหลังคาสำเร็จรูปมากขึ้น บริษัทจำเป็นต้องใช้เวลาในการให้ความรู้และเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อลูกค้าให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพมากขึ้นจะทำให้มีการใช้สินค้าบริษัทมากขึ้น”