นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ ปัจจัยลบในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องจับตาดูและติดตามอย่างใกล้ชิดในปีนี้ คือราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย ที่เป็นจัยลบ โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่ปีนี้อาจจะขยับได้มากกว่า 1% ถ้าดูจากราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก และถ้าดอกเบี้ยขึ้นเกิน 1% จะมีผลกระทบต่อกำลังซื้อในตลาดแน่นอน นอกจากนี้ การเมืองในช่วงเลือกตั้งก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม เพราะถ้าเลือกตั้งแล้วปัญหายังไม่จบจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าด้วย
นอกจากนี้ปัจจัยลบอีกตัวที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาโดยเฉพาะคอนโดฯมิเนียมแล้วคือมาตรการสกัดสินเชื่อหรือ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าคอนโดฯ ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ โดยการลดสัดส่วนการพัฒนาคอนโดมิเนียมลง จากเดิม 66% มาอยู่ที่ 44%
โดยปีที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนการพัฒนาคอนโดฯ 66% บ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮาส์ 9% บ้านแฝด 5% ส่วนในปีนี้ได้ปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่โดยลดการพัฒนาคอนโดฯเหลือ44% เพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยวเป็น 33% บ้านแฝด 3% ทาวน์เฮาส์ 9% ส่วนที่เหลือเป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่สรุป 11%
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 17,0000ล้านบาท และเปิดโครงการใหม่รวม 16 โครงการ มูลค่ารวม20,000 ล้านบาท ส่วนในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 15,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%เมื่อเทียบกับปี 2552 และมีรายได้รวม 11,000 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 2.564 ล้านบาท ทั้งนี้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นไตรมาสแรกจะมียอดขายประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อย
นอกจากนี้ปัจจัยลบอีกตัวที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาโดยเฉพาะคอนโดฯมิเนียมแล้วคือมาตรการสกัดสินเชื่อหรือ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าคอนโดฯ ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ โดยการลดสัดส่วนการพัฒนาคอนโดมิเนียมลง จากเดิม 66% มาอยู่ที่ 44%
โดยปีที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนการพัฒนาคอนโดฯ 66% บ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮาส์ 9% บ้านแฝด 5% ส่วนในปีนี้ได้ปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการใหม่โดยลดการพัฒนาคอนโดฯเหลือ44% เพิ่มสัดส่วนบ้านเดี่ยวเป็น 33% บ้านแฝด 3% ทาวน์เฮาส์ 9% ส่วนที่เหลือเป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่สรุป 11%
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่ 17,0000ล้านบาท และเปิดโครงการใหม่รวม 16 โครงการ มูลค่ารวม20,000 ล้านบาท ส่วนในปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 15,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%เมื่อเทียบกับปี 2552 และมีรายได้รวม 11,000 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 2.564 ล้านบาท ทั้งนี้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นไตรมาสแรกจะมียอดขายประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อย