ในบริบทของโลกปัจจุบันนี้ ชาตินิยม เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะต้านภัย โล“ภา”ภิวัตน์ได้ ซึ่งเป็นเชื้อโรคร้ายสายพันธุ์ใหม่ที่หากิน “ข้ามชาติ” ได้แบบไร้พรมแดน โดยที่ “หมอสังคม” ก็ยังคิดหายาฆ่าเชื้อไม่ออก
โดยเฉพาะประเทศไทยเรานั้นมันมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง เช่น นักวิชาการ มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันให้ประเทศ แต่ดันไปเข้าข้างต่างชาติให้เข้ามาย่ำยีชาติตัวเอง ประเทศเราก็เลยถูกไอ้เชื้อตัวนี้มาเขมือบเสียเกือบหมดสิ้นสกุลไทยแล้ว ออกอาการให้เห็น..เช่น..ครอบครัวไทยต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ..พ่อแม่ทิ้งลูกเต้าไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่พวกเชื้อร้ายไร้สัญชาติมันกดค่าแรงให้แสนต่ำ
ถ้าเราจะชาตินิยมกันสักหน่อย เราคงไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาตักตวงกดขี่ “ชนในชาติ” เราแบบนี้หรอก เราจะต้องหาทางปัองกันเชื้อโรคอย่างชาญฉลาดด้วยการสร้างงานรายได้ดีให้คนของเราด้วยมือของเราเอง เพื่อยืนอยู่บนลำแข้งของเราเอง แต่นี่เรากลับสร้างแต่งานราคาถูกเพื่อให้เป็นขี้ข้าต่างชาติเต็มเมือง
มันผู้ใดหาญกล้ารักชาติแล้วออกมาสู้ก็คงจะถูกตราหน้าว่า คลั่งชาติ โดยฝ่ายพวกนักวิชาการ อชาตินิยม เสียเป็นแน่เนื่องเพราะถูกพวกโลภาภิวัตน์มันปั่นหัวด้วยวาทกรรมต่ำหื่นว่า ...ยุคนี้มันไร้พรมแดนแล้ว
ก่อนที่พวกนักวิชาการ “กรรมมารอ” และ อชาตินิยมจะไปกล่าวหาใครลอยๆ สนุกปากว่า คลั่งชาติ ควรใช้สมองมานิยามกันก่อนว่า ชาติ คืออะไรแน่
พวกนักวิชาการกรรมมารอมักเสนอว่า ชาติหมายถึงประชาชน แต่อนิจจาคนพวกนี้กลับ สองมาตรฐาน โดยไปจัดว่าคนสีเสื้อหนึ่งเป็นพวกคลั่งชาติที่ไม่ควรฟัง ส่วนคนอีกสีเสื้อหนึ่งคือประชาชนแท้ที่ต้องฟัง (ทั้งนี้ประชาชนที่ คลั่งเงิน จนถูกซื้อด้วยเงินไม่กี่ร้อยเพื่อมาชุมนุมทำลายชาติก็ไม่เคยคิดถึงกันบ้างเลย แถมยังคลั่งความรุนแรงอีกต่างหาก ยังไม่นับพวก คลั่งผู้นำกำมะลอ)
บางคนก็เห็นว่า ชาติคือแผ่นดิน ที่จะไม่ยอมเสียให้ใครแม้แต่ตารางนิ้ว ..ซึ่งนี่ก็สุดโต่งเกินไป
ถ้ามีแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักวิชาการกรรมมารอ และคนที่ขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยเงินห้าร้อยบาทเพื่อมาชุมนุม ผมว่าชาติดังว่านี้คงสูญสิ้นในเร็ววัน (คล้ายชาติไทยเราวันนี้นะ)
ผมว่าชาติที่ดีต้องมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม (โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านภาษา) ศาสนา ความภูมิใจของคนในชาติ และที่สำคัญที่สุดคือ “จุดหมายร่วมกัน” ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้ง “ชาติ”
กล่าวคือชาติที่สมบูรณ์ ต้องมีทั้งกายและใจนั่นเอง
พวกยิวสมัยก่อนมีองค์ประกอบดังว่าครบหมด ยกเว้นแผ่นดิน ทำให้ต้องระเหเร่ร่อนมา 3,000 ปี บัดนี้มีแผ่นดินอยู่แล้ว ทำให้เขาเป็นชาติได้อย่างสมบูรณ์ เขาจึงหวงแหนแผ่นดินเขามาก..ปกปักรักษาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตเสมอมา (ด้วยใจ) พวกอชาตินิยมพึงสำเหนียกว่าถ้ายังโง่เง่าไม่เข้าใจความหมายของชาติให้สมบูรณ์ สักวันอาจต้องระเหเร่ร่อนแบบพวกยิวไปอีก 3,000 ปี
สำหรับเรื่องดินแดนกับเขมรนั้น โดยเชิงปริมาณแล้วถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่โดยเชิงคุณภาพแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว เพราะมันเป็นเวทีซักซ้อม รวมทั้งเป็นดัชนีวัดความเป็น “ชาตินิยม” นั่นเอง
การที่คนไทยจำนวนมากไม่สนใจปัญหานี้ ไม่ใช่เพราะว่ามีปัญญาสูงส่งจนก้าวพ้นเรื่องดินแดนไปแล้ว (ถ้าเป็นดังนั้นจริงก็ขออนุโมทนา) แต่เป็นเพราะไม่สนใจไยดีในชาติและหรือไม่เข้าใจความหมายของชาติเสียมากกว่า ซึ่งผมว่าเป็นสัญญาณอันตรายมาก แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่พวกนักวิชาการกรรมมารอเอามาเยาะเย้ยพวกชาตินิยมเสียอีกว่า ตกกระแสบ้าง จุดไม่ติดบ้าง (เป็นหลักฐานว่า..วิชาการกับปัญญานั้นมันคนละส่วนกัน)
ก็เรื่องปัญหาดินแดนกับชาติเล็กๆ เช่น เขมร คนไทยเราส่วนใหญ่ยังทอดธุระไม่สนใจไยดี จนจะแพ้เขมรอยู่แล้ว แล้วถามว่าปัญหาดินแดนกับพวกบริษัทข้ามชาติ ที่มันเข้มแข็งกว่าเขมรยิ่งนัก แล้วเราจะสู้มันได้หรือ..อาจถึงคราวสิ้นชาติกันคราวนี้เอง ซึ่งพวกอชาตินิยมคงไม่เดือดร้อนอะไร เพราะคนกำมะลอพวกนี้ไปเป็นพลเมืองขึ้นใครเขาก็คงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเท่าเดิมอยู่แล้ว
คนเรานั้นต้องรักตัวเองและชาติตัวเองก่อน แม้แต่องค์พระสัมมายังทรงสอนให้กระทำการใดเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน โดยประโยชน์ตนมาก่อนเสมอ ทรงสอนกระทั่งว่า ประโยชน์ท่านแม้มากมายก็ไม่ควรทำประโยชน์ตนให้เสียไป
คนที่อ้างว่ารักคนอื่น ชาติอื่น มากกว่ารักตน หรือแม้รักเท่าตนนั้น ผมจัดให้เป็นพวกกำมะลอทั้งสิ้น คนพวกนี้มีกรรมมารออยู่ใกล้ๆ อีกไม่นานเห็นผลแน่
(หมายเหตุ: ได้ยินแว่วๆว่าท่านอาจารย์พิภพ ธงไชย ประกาศบนเวทีพธม. เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คราวต่อไปจะพูดเรื่องชาตินิยมต่อสู้โลกาภิวัตน์ ซึ่งในขณะนั้นผมได้เขียนบทความนี้ไว้แล้ว แพร่กระจายอยู่ในโลกไซเบอร์ ถ้าเนื้อความไปตรงกับที่ท่านอาจารย์พูดในคราวต่อมา (ซึ่งผมไม่มีโอกาสได้ฟัง) ก็ถือว่าเป็นการย้ำให้หนักแน่นขึ้นก็แล้วกันนะครับ)
โดยเฉพาะประเทศไทยเรานั้นมันมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง เช่น นักวิชาการ มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันให้ประเทศ แต่ดันไปเข้าข้างต่างชาติให้เข้ามาย่ำยีชาติตัวเอง ประเทศเราก็เลยถูกไอ้เชื้อตัวนี้มาเขมือบเสียเกือบหมดสิ้นสกุลไทยแล้ว ออกอาการให้เห็น..เช่น..ครอบครัวไทยต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ..พ่อแม่ทิ้งลูกเต้าไปทำงานในนิคมอุตสาหกรรม ที่พวกเชื้อร้ายไร้สัญชาติมันกดค่าแรงให้แสนต่ำ
ถ้าเราจะชาตินิยมกันสักหน่อย เราคงไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามาตักตวงกดขี่ “ชนในชาติ” เราแบบนี้หรอก เราจะต้องหาทางปัองกันเชื้อโรคอย่างชาญฉลาดด้วยการสร้างงานรายได้ดีให้คนของเราด้วยมือของเราเอง เพื่อยืนอยู่บนลำแข้งของเราเอง แต่นี่เรากลับสร้างแต่งานราคาถูกเพื่อให้เป็นขี้ข้าต่างชาติเต็มเมือง
มันผู้ใดหาญกล้ารักชาติแล้วออกมาสู้ก็คงจะถูกตราหน้าว่า คลั่งชาติ โดยฝ่ายพวกนักวิชาการ อชาตินิยม เสียเป็นแน่เนื่องเพราะถูกพวกโลภาภิวัตน์มันปั่นหัวด้วยวาทกรรมต่ำหื่นว่า ...ยุคนี้มันไร้พรมแดนแล้ว
ก่อนที่พวกนักวิชาการ “กรรมมารอ” และ อชาตินิยมจะไปกล่าวหาใครลอยๆ สนุกปากว่า คลั่งชาติ ควรใช้สมองมานิยามกันก่อนว่า ชาติ คืออะไรแน่
พวกนักวิชาการกรรมมารอมักเสนอว่า ชาติหมายถึงประชาชน แต่อนิจจาคนพวกนี้กลับ สองมาตรฐาน โดยไปจัดว่าคนสีเสื้อหนึ่งเป็นพวกคลั่งชาติที่ไม่ควรฟัง ส่วนคนอีกสีเสื้อหนึ่งคือประชาชนแท้ที่ต้องฟัง (ทั้งนี้ประชาชนที่ คลั่งเงิน จนถูกซื้อด้วยเงินไม่กี่ร้อยเพื่อมาชุมนุมทำลายชาติก็ไม่เคยคิดถึงกันบ้างเลย แถมยังคลั่งความรุนแรงอีกต่างหาก ยังไม่นับพวก คลั่งผู้นำกำมะลอ)
บางคนก็เห็นว่า ชาติคือแผ่นดิน ที่จะไม่ยอมเสียให้ใครแม้แต่ตารางนิ้ว ..ซึ่งนี่ก็สุดโต่งเกินไป
ถ้ามีแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักวิชาการกรรมมารอ และคนที่ขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยเงินห้าร้อยบาทเพื่อมาชุมนุม ผมว่าชาติดังว่านี้คงสูญสิ้นในเร็ววัน (คล้ายชาติไทยเราวันนี้นะ)
ผมว่าชาติที่ดีต้องมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม (โดยเฉพาะวัฒนธรรมด้านภาษา) ศาสนา ความภูมิใจของคนในชาติ และที่สำคัญที่สุดคือ “จุดหมายร่วมกัน” ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้ง “ชาติ”
กล่าวคือชาติที่สมบูรณ์ ต้องมีทั้งกายและใจนั่นเอง
พวกยิวสมัยก่อนมีองค์ประกอบดังว่าครบหมด ยกเว้นแผ่นดิน ทำให้ต้องระเหเร่ร่อนมา 3,000 ปี บัดนี้มีแผ่นดินอยู่แล้ว ทำให้เขาเป็นชาติได้อย่างสมบูรณ์ เขาจึงหวงแหนแผ่นดินเขามาก..ปกปักรักษาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตเสมอมา (ด้วยใจ) พวกอชาตินิยมพึงสำเหนียกว่าถ้ายังโง่เง่าไม่เข้าใจความหมายของชาติให้สมบูรณ์ สักวันอาจต้องระเหเร่ร่อนแบบพวกยิวไปอีก 3,000 ปี
สำหรับเรื่องดินแดนกับเขมรนั้น โดยเชิงปริมาณแล้วถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่โดยเชิงคุณภาพแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว เพราะมันเป็นเวทีซักซ้อม รวมทั้งเป็นดัชนีวัดความเป็น “ชาตินิยม” นั่นเอง
การที่คนไทยจำนวนมากไม่สนใจปัญหานี้ ไม่ใช่เพราะว่ามีปัญญาสูงส่งจนก้าวพ้นเรื่องดินแดนไปแล้ว (ถ้าเป็นดังนั้นจริงก็ขออนุโมทนา) แต่เป็นเพราะไม่สนใจไยดีในชาติและหรือไม่เข้าใจความหมายของชาติเสียมากกว่า ซึ่งผมว่าเป็นสัญญาณอันตรายมาก แต่กลับกลายเป็นประเด็นที่พวกนักวิชาการกรรมมารอเอามาเยาะเย้ยพวกชาตินิยมเสียอีกว่า ตกกระแสบ้าง จุดไม่ติดบ้าง (เป็นหลักฐานว่า..วิชาการกับปัญญานั้นมันคนละส่วนกัน)
ก็เรื่องปัญหาดินแดนกับชาติเล็กๆ เช่น เขมร คนไทยเราส่วนใหญ่ยังทอดธุระไม่สนใจไยดี จนจะแพ้เขมรอยู่แล้ว แล้วถามว่าปัญหาดินแดนกับพวกบริษัทข้ามชาติ ที่มันเข้มแข็งกว่าเขมรยิ่งนัก แล้วเราจะสู้มันได้หรือ..อาจถึงคราวสิ้นชาติกันคราวนี้เอง ซึ่งพวกอชาตินิยมคงไม่เดือดร้อนอะไร เพราะคนกำมะลอพวกนี้ไปเป็นพลเมืองขึ้นใครเขาก็คงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเท่าเดิมอยู่แล้ว
คนเรานั้นต้องรักตัวเองและชาติตัวเองก่อน แม้แต่องค์พระสัมมายังทรงสอนให้กระทำการใดเพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน โดยประโยชน์ตนมาก่อนเสมอ ทรงสอนกระทั่งว่า ประโยชน์ท่านแม้มากมายก็ไม่ควรทำประโยชน์ตนให้เสียไป
คนที่อ้างว่ารักคนอื่น ชาติอื่น มากกว่ารักตน หรือแม้รักเท่าตนนั้น ผมจัดให้เป็นพวกกำมะลอทั้งสิ้น คนพวกนี้มีกรรมมารออยู่ใกล้ๆ อีกไม่นานเห็นผลแน่
(หมายเหตุ: ได้ยินแว่วๆว่าท่านอาจารย์พิภพ ธงไชย ประกาศบนเวทีพธม. เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คราวต่อไปจะพูดเรื่องชาตินิยมต่อสู้โลกาภิวัตน์ ซึ่งในขณะนั้นผมได้เขียนบทความนี้ไว้แล้ว แพร่กระจายอยู่ในโลกไซเบอร์ ถ้าเนื้อความไปตรงกับที่ท่านอาจารย์พูดในคราวต่อมา (ซึ่งผมไม่มีโอกาสได้ฟัง) ก็ถือว่าเป็นการย้ำให้หนักแน่นขึ้นก็แล้วกันนะครับ)