ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงไม่เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับการที่ “นายอดิศร เพียงเกษ” หัวขบวนม็อบเสื้อแดงเข้ามอบตัวและได้รับการประกันสมใจภายหลังเดินทางเข้ามอบตัวที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมกับนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และทนายความส่วนตัว โดยยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 6 แสนบาท
เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลนายอภิอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดงก่อการร้ายตามแผนปรองดองแห่งชาติไปเรียบร้อยแล้ว
กล่าวสำหรับนายอดิศรนั้น ความน่าสนใจในการมอบตัวครั้งนี้นั้น น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวภายหลังได้รับประกันตัว เพราะเขาประกาศชัดเจนว่า “จะไม่เดินทางไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง เพราะผมยังอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เพราะอยากให้บ้านเมืองเดินทางเข้าสู่ความปรองดอง โดยสิ่งใดที่หนักก็ไม่ทำให้หนัก เพื่อจะเดินไปได้ด้วยความจริงใจ”
ตรงตามเป้าประสงค์ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์โดยแท้
และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ นายอดิศรประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า “อยากจัดรายการทางช่องเอ็นบีที จึงอยากขอเวลา เพื่อดำเนินรายการต่อนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยขอเวลาสัปดาห์ละ 30 นาที ซึ่งหวังว่า นายองอาจ จะพิจารณาในเรื่องดังกล่าว โดยรายการจะเน้นหนักในเรื่องวัฒนธรรม”
จากคำพูดของนายอดิศรทำให้เชื่อได้ว่า ได้มีการนำเสนอแนวความคิดเรื่องนี้ต่อนายองอาจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสังคมก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะบ้าจี้ยอมตามที่นายอดิศรขอหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ยอมจำนนต่อคนเสื้อแดง รัฐบาลของเขากลับสั่งการให้เล่นงานบรรดาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างหนัก ด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหอบสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่งมอบให้นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เพื่อพิจารณาสั่งฟ้องคดี พร้อมกันถึง 4 สำนวน ประกอบด้วย คดีปิดล้อมสภา ปิดทำเนียบฯ หมิ่นประมาทเนวิน ชิดชอบ และหมิ่นประมาท ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับการขีดเส้นตายให้พันธมิตรฯ สลายการชุมนุมก่อนวันที่ 15 มีนาคม อีกด้วยซ้ำ
ดังนั้น การดำเนินการของตำรวจในครั้งนี้ จึงย่อมมีนัยทางการเมืองแอบแฝงอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากมองเป็นอื่นไม่ได้ว่าเป็นวิชามารของรัฐบาลที่ต้องการไล่ล่าและกำจัดเสี้ยนหนามทางการเมืองให้สิ้นซากไปทางใดทางหนึ่ง ด้วยการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเองเพียงเท่านั้น
สมการการเมืองดังกล่าวมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า บัดนี้นายอภิสิทธิ์ได้แอบจับมือกับ นช.ทักษิณ ชินวัตรเรียบร้อยแล้วโดยผ่านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยถ้าหลังการเลือกตั้งถ้าพรรคเพื่อไทยมาอันดับ 1 ได้จัดตั้งรัฐบาล จะไม่เอาคนของ นช.ทักษิณเป็นนายกฯ แต่จะให้ พล.ต.สนั่นเป็นแทน จากนั้นในขั้นที่สอง พล.ต.สนั่นจะเดินแผนปรองดองต่อด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนเสื้อแดงรวมทั้ง นช.ทักษิณด้วย แล้วให้ นช.ทักษิณกลับเข้ามาในประเทศไทย หลังจากนั้น พล.ต.สนั่นจะยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่เพื่อปูทางให้ นช.ทักษิณกลับมาเป็นนายรัฐมนตรีของไทยอีกครั้ง
แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ก็จะเป็นนายกฯ แม้ว่าจะต้องตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเพื่อไทยก็ไม่เสียหาย เพราะสามารถใช้เหตุผลในเรื่องของการปรองดองและการสมานฉันท์มาอ้างได้
ด้วยเหตุดังกล่าว เกมครั้งนี้จึงมิอาจกระพริบตาได้
