00 ปัญหาชายแดนไทย-เขมรกำลังกลับมามัดคอนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แน่นขึ้นทุกวัน เพราะเริ่มดิ้นไม่หยุดกับคำพูดที่บอกว่า “ไม่มีวันเสียอธิปไตย” ให้ฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด แต่เชื่อเถอะผลจะออกมาเป็นตรงกันข้ามเสมอ เห็นได้ชัดก็คือ “ผู้สังเกตการณ์” จากอินโดฯ ที่จะเข้ามาในพื้นที่ชายแดนทั้งสองประเทศ เพราะถ้าทหารอินโดฯ เข้าพื้นที่ชายแดนเมื่อไหร่ “ความจริง” ก็จะถูกเปิดเผยทันที ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลไทยคือ ทั้งนายกฯ และ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ทำได้ก็คือ “ซื้อเวลา” ให้นานที่สุด
00 เป็นข่าวที่ออกมาจากฝั่งกัมพูชาเช่นเคย ว่าเวลานี้ฝ่าย ฮุนเซน และอินโดฯ กำลังกดดันไทยให้รีบตอบรับเงื่อนไข “ทีโออาร์” หรือข้อตกลงเรื่องของผู้สังเกตการณ์และการประชุมเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่อินโดฯวันที่ 24-25 มี.ค.นี้ ซึ่งหากพิจารณาให้ทะลุเข้าไปในหัวใจของ “มาร์ค” ในเวลานี้ก็คือ หากตอบรับเมื่อไหร่ “ความจริง” ก็จะปรากฏออกมาเมื่อนั้น เริ่มจากเรื่องแรกคือผู้สังเกตการณ์ ก็จะเข้ามาในพื้นที่ชายแดน ซึ่งฝั่งไทยไม่มีปัญหา ปัญหาจะอยู่ที่ฝั่งกัมพูชา ซึ่งคาดหมายล่วงหน้าได้อยู่แล้วว่า กัมพูชาจะต้องนำทหารอินโดฯ มายืนอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์ “ภูมะเขือ” และ “วัดแก้วศิขาฯ” ที่กัมพูชาเข้ามายึดครอง แต่เป็นพื้นที่ของไทย
00 ปัญหาอีกข้อหนึ่งก็คือเมื่อผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดฯ ที่เข้ามาในนามอาเซียน และได้รับการสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามข้อตกลงบอกว่าจะมาประจำเป็นเวลาถึง 9 เดือน แม้ว่าจะร่นเวลาลงมาแล้วจากเดิมที่กำหนดเอาไว้ 1 ปี เป็นเพราะเวลาของการเป็นประธานอาเซียนหมุนเวียนเหลืออยู่แค่นั้น ถ้าเข้ามายืนอยู่ในจุดดังกล่าว มันก็ย่อมทำให้พันธมิตรฯและพี่น้องคนไทยหัวใจรักชาติทั้งหลายด่ากันยับแน่ แถมยังจะตามเปิดโปงรุมด่าทุกวัน ซึ่งในช่วงเทศกาลเลือกตั้งแบบนี้ รับรองคงไม่เป็นผลดี
00 นอกเหนือจากนี้การประชุมทั้ง เจบีซี และจีบีซี ที่อินโดฯ ในวันที่ 24-25 มี.ค. ก็ไม่ได้มีความหมายตามที่ อภิสิทธิ์ เคยพูดเอาไว้ เพราะนี่คือการเจรจาที่ไม่ใช่แบบทวิภาคีตามหลักสากล แต่เป็นการเจรจาที่มีประเทศที่สามคือ อินโดฯ เข้าร่วมด้วย แม้ว่าจะพูดให้ดูดีว่าเป็นผู้สังเกตการณ์หรือ “พี่เลี้ยง” ก็ตาม ขณะเดียวกันเกมได้ถลำลึกเข้าทาง “ฮุนเซน” สมบูรณ์แบบแล้ว เพราะถ้าไทยยังอิดออด กัมพูชาก็จะฟ้องนานาชาติว่า ไทยไม่ได้ทำตามที่พูดว่าจะรักสันติจริง แต่อีกมุมหนึ่งพอเจรจาและส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามา ความจริงก็จะถูกเปิดโปง
00 งามหน้าจนไม่รู้จะเอาปี๊บที่ไหนมาคลุมหัว เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของ “7 ผู้นำท้องถิ่น” ตามแนวชายแดน ที่เตรียมส่งข้อมูลขอความร่วมมือให้รัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศฟ้องรัฐบาลกัมพูชา เรียกค่าเสียหายกว่า 2.2 พันล้านบาท จากกรณีที่มีกระสุนปืนล้ำเข้ามาจนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ บ้านเรือนไร่นาเสียหาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ายที่ริเริ่มน่าจะเป็นรัฐบาลไทยมากกว่า แต่ก็คงเข้าใจได้ว่า กลัวว่า “พ่อฮุนเซน” ไม่พอใจ หรือกลัวจะกระทบความสัมพันธ์ทำลายบรรยากาศการค้า ทุด !!
00 นี่ก็ “อัปยศ” สิ้นดีกับการที่นายกรัฐมนตรีของประเทศ และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เดินค้อมหัว เอามือ “กุมเป้า” เข้าไปพบกับ ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. รวมทั้งคณะทหารคนสำคัญถึงในกองบัญชาการกองทัพบก ซึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่านี่คือการไปหารือเรื่องข้อมูล “ซักฟอก” ก็อาจจะจริงดังที่ว่า เพราะใน “ศึกน้ำลาย” คราวนี้ ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดง คงต้องนำเรื่องสลายการจลาจลมาถล่มอีกรอบ แต่คำถามก็คือ “ความเหมาะสม” ทำไมไม่ให้บรรดา “ขุนทหาร” เข้ามาพบที่ทำเนียบฯ นี่หรือ “ศักดิ์ศรี” ของผู้นำรัฐบาล แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อรัฐบาลนี้เกิดขึ้นในค่ายทหาร เวลามีเรื่องอะไรต้องปรึกษาก็ต้องไปหารือกันในนั้น
00 เป็นเพราะทนได้ยินการเปิดโปงแฉโพยรายวันไม่ไหวจึงต้องทำทุกทางเพื่อขับไล่ม็อบพันธมิตรฯ ออกไปจากพื้นที่ให้จงได้ ส่วนเหตุผลเรื่องจัดงานกาชาดนั้นเป็นแค่ให้ฟังดูแล้วมีเหตุมีผลเท่านั้น เพราะเมื่อปี 51 ก็เคยมีการชุมนุมแบบนี้ แถมตอนนั้นยังมีบรรดาแม่ยก ปชป. มาร่วมด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร แม้จะกระทบบ้างแต่ต้องมองที่หลักการใหญ่ว่าคนไทยพวกนี้ที่เขาออกมาตากแดดตากฝน ก็มาเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย และที่สำคัญออกมาไล่รัฐบาล “ขายชาติ” ผู้นำปลิ้นปล้อนโกหกรายวันต่างหาก สาเหตุหลังนี่แหละที่ทนไม่ได้ อย่างไรก็ดี เมื่อบอกว่าจะดีเดย์ไล่วันที่ 15 มี.ค. ก็ให้เข้ามาเลย..มาเลย !!
00 ทยอยกันเข้ามอบตัวกันเป็นแถว สำหรับ “หัวโจกแดง” ล่าสุดที่พอมีอันดับก็ มี อดิศร เพียงเกษ และก็ได้รับการประกันตัวปล่อยไปตามหลัก “ปรองดองแห่งชาติ” แค่วางเงินประกัน 5-6 แสน ในชั้นพนักงานสอบสวนดีเอสไอก็ออกไปเดินปร๋อได้ทันที ไม่ต้องถึงชั้นศาลให้เสียเวลา แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ คำให้สัมภาษณ์ในเชิงเยาะเย้ยก็คือ หลังเกิดเหตุ “จลาจลเผาเมือง” จนถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายนาน 9 เดือน ก็หลบอยู่ในกรุงเทพฯตลอด แสดงให้เห็นว่า ถ้าคนพวกนี้ไม่เข้ามอบตัวเอง เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีปัญญาจับได้ ทุด ทุด !!
00 เป็นข่าวที่ออกมาจากฝั่งกัมพูชาเช่นเคย ว่าเวลานี้ฝ่าย ฮุนเซน และอินโดฯ กำลังกดดันไทยให้รีบตอบรับเงื่อนไข “ทีโออาร์” หรือข้อตกลงเรื่องของผู้สังเกตการณ์และการประชุมเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ที่อินโดฯวันที่ 24-25 มี.ค.นี้ ซึ่งหากพิจารณาให้ทะลุเข้าไปในหัวใจของ “มาร์ค” ในเวลานี้ก็คือ หากตอบรับเมื่อไหร่ “ความจริง” ก็จะปรากฏออกมาเมื่อนั้น เริ่มจากเรื่องแรกคือผู้สังเกตการณ์ ก็จะเข้ามาในพื้นที่ชายแดน ซึ่งฝั่งไทยไม่มีปัญหา ปัญหาจะอยู่ที่ฝั่งกัมพูชา ซึ่งคาดหมายล่วงหน้าได้อยู่แล้วว่า กัมพูชาจะต้องนำทหารอินโดฯ มายืนอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์ “ภูมะเขือ” และ “วัดแก้วศิขาฯ” ที่กัมพูชาเข้ามายึดครอง แต่เป็นพื้นที่ของไทย
00 ปัญหาอีกข้อหนึ่งก็คือเมื่อผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดฯ ที่เข้ามาในนามอาเซียน และได้รับการสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามข้อตกลงบอกว่าจะมาประจำเป็นเวลาถึง 9 เดือน แม้ว่าจะร่นเวลาลงมาแล้วจากเดิมที่กำหนดเอาไว้ 1 ปี เป็นเพราะเวลาของการเป็นประธานอาเซียนหมุนเวียนเหลืออยู่แค่นั้น ถ้าเข้ามายืนอยู่ในจุดดังกล่าว มันก็ย่อมทำให้พันธมิตรฯและพี่น้องคนไทยหัวใจรักชาติทั้งหลายด่ากันยับแน่ แถมยังจะตามเปิดโปงรุมด่าทุกวัน ซึ่งในช่วงเทศกาลเลือกตั้งแบบนี้ รับรองคงไม่เป็นผลดี
00 นอกเหนือจากนี้การประชุมทั้ง เจบีซี และจีบีซี ที่อินโดฯ ในวันที่ 24-25 มี.ค. ก็ไม่ได้มีความหมายตามที่ อภิสิทธิ์ เคยพูดเอาไว้ เพราะนี่คือการเจรจาที่ไม่ใช่แบบทวิภาคีตามหลักสากล แต่เป็นการเจรจาที่มีประเทศที่สามคือ อินโดฯ เข้าร่วมด้วย แม้ว่าจะพูดให้ดูดีว่าเป็นผู้สังเกตการณ์หรือ “พี่เลี้ยง” ก็ตาม ขณะเดียวกันเกมได้ถลำลึกเข้าทาง “ฮุนเซน” สมบูรณ์แบบแล้ว เพราะถ้าไทยยังอิดออด กัมพูชาก็จะฟ้องนานาชาติว่า ไทยไม่ได้ทำตามที่พูดว่าจะรักสันติจริง แต่อีกมุมหนึ่งพอเจรจาและส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามา ความจริงก็จะถูกเปิดโปง
00 งามหน้าจนไม่รู้จะเอาปี๊บที่ไหนมาคลุมหัว เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของ “7 ผู้นำท้องถิ่น” ตามแนวชายแดน ที่เตรียมส่งข้อมูลขอความร่วมมือให้รัฐบาล และกระทรวงต่างประเทศฟ้องรัฐบาลกัมพูชา เรียกค่าเสียหายกว่า 2.2 พันล้านบาท จากกรณีที่มีกระสุนปืนล้ำเข้ามาจนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ บ้านเรือนไร่นาเสียหาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ายที่ริเริ่มน่าจะเป็นรัฐบาลไทยมากกว่า แต่ก็คงเข้าใจได้ว่า กลัวว่า “พ่อฮุนเซน” ไม่พอใจ หรือกลัวจะกระทบความสัมพันธ์ทำลายบรรยากาศการค้า ทุด !!
00 นี่ก็ “อัปยศ” สิ้นดีกับการที่นายกรัฐมนตรีของประเทศ และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เดินค้อมหัว เอามือ “กุมเป้า” เข้าไปพบกับ ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. รวมทั้งคณะทหารคนสำคัญถึงในกองบัญชาการกองทัพบก ซึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่านี่คือการไปหารือเรื่องข้อมูล “ซักฟอก” ก็อาจจะจริงดังที่ว่า เพราะใน “ศึกน้ำลาย” คราวนี้ ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดง คงต้องนำเรื่องสลายการจลาจลมาถล่มอีกรอบ แต่คำถามก็คือ “ความเหมาะสม” ทำไมไม่ให้บรรดา “ขุนทหาร” เข้ามาพบที่ทำเนียบฯ นี่หรือ “ศักดิ์ศรี” ของผู้นำรัฐบาล แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อรัฐบาลนี้เกิดขึ้นในค่ายทหาร เวลามีเรื่องอะไรต้องปรึกษาก็ต้องไปหารือกันในนั้น
00 เป็นเพราะทนได้ยินการเปิดโปงแฉโพยรายวันไม่ไหวจึงต้องทำทุกทางเพื่อขับไล่ม็อบพันธมิตรฯ ออกไปจากพื้นที่ให้จงได้ ส่วนเหตุผลเรื่องจัดงานกาชาดนั้นเป็นแค่ให้ฟังดูแล้วมีเหตุมีผลเท่านั้น เพราะเมื่อปี 51 ก็เคยมีการชุมนุมแบบนี้ แถมตอนนั้นยังมีบรรดาแม่ยก ปชป. มาร่วมด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร แม้จะกระทบบ้างแต่ต้องมองที่หลักการใหญ่ว่าคนไทยพวกนี้ที่เขาออกมาตากแดดตากฝน ก็มาเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย และที่สำคัญออกมาไล่รัฐบาล “ขายชาติ” ผู้นำปลิ้นปล้อนโกหกรายวันต่างหาก สาเหตุหลังนี่แหละที่ทนไม่ได้ อย่างไรก็ดี เมื่อบอกว่าจะดีเดย์ไล่วันที่ 15 มี.ค. ก็ให้เข้ามาเลย..มาเลย !!
00 ทยอยกันเข้ามอบตัวกันเป็นแถว สำหรับ “หัวโจกแดง” ล่าสุดที่พอมีอันดับก็ มี อดิศร เพียงเกษ และก็ได้รับการประกันตัวปล่อยไปตามหลัก “ปรองดองแห่งชาติ” แค่วางเงินประกัน 5-6 แสน ในชั้นพนักงานสอบสวนดีเอสไอก็ออกไปเดินปร๋อได้ทันที ไม่ต้องถึงชั้นศาลให้เสียเวลา แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ คำให้สัมภาษณ์ในเชิงเยาะเย้ยก็คือ หลังเกิดเหตุ “จลาจลเผาเมือง” จนถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายนาน 9 เดือน ก็หลบอยู่ในกรุงเทพฯตลอด แสดงให้เห็นว่า ถ้าคนพวกนี้ไม่เข้ามอบตัวเอง เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีปัญญาจับได้ ทุด ทุด !!