ASTV ผู้จัดการรายวัน - ปีที่ผ่านมา บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) (RS) ที่มีกำไรสุทธิโตก้าวกระโดด 319% มาอยู่ที่ 316 ล้านบาท ส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นการได้สิทธิ์บริหารการถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งช่วยสร้างรายได้ก้อนโตเข้าสู่บริษัท แต่ฟุตบอลโลกไม่ได้มีจัดทุกปี ...จุดนี้เอง ที่ทำให้ใครหลายๆคนสงสัยกันว่า แล้วปีนี้ อาร์เอส จะจัดการอย่างไรเพื่อรักษาระดับเพดานรายได้ให้เติบได้ในระดับเดิม เช่นเดียวกับปี 2010
เมื่อเร็วๆนี้ ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ **ดามพ์ นานา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.อาร์เอส ** ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า ปีที่ผ่านมา หลายคนมองว่า ที่อาร์เอสมีกำไรงาม มาจากฟุตบอลโลก แต่ความจริงนั้นธุรกิจหลักธุรกิจเพลงและดิจิตอล ประสบความสำเร็จสูง จนสามารถทำรายได้รวมไปกว่า 1,053.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% และยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่องทางการจำหน่ายในรูปแบบ ดิจิตอลโปรดักส์ ภายใต้แคมเปญ “ซุปเปอร์เหมา *339 “
นอกจากนี้ธุรกิจ มีเดีย สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นแตะ 663.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น23 % แบ่งเป็น สื่อโทรทัศน์เติบโต 21% สื่อวิทยุเพิ่มขึ้น 9% และสื่อโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น 55% ขณะเดียวกันธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียม เข้ามาเสริมทัพเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจทีวีมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการ ทีวีดาวเทียม 2 ช่อง คือ สบายดี ทีวี และ YOU CHANNEL
ขณะที่ธุรกิจสปอร์ต จากการบริหารสิทธิ์ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2010 ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ไปกว่า 600 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 1,066 %
** แผนงานในปีนี้ CFO อาร์เอส ยืนยันว่า แม้รายได้จากธุรกิจสปอร์ตจะขาดหายไป และต้องรอจนถึงปี2014 แต่บริษัทเชื่อว่าจะรักษาระดับเพดานรายได้ไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนได้ โดยทั้งปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 8-10% มาอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจทั้งหมดให้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม Entertainment & Content Provider ประกอบด้วย ธุรกิจเพลงและดิจิตอล, โชว์บิซ, ภาพยนตร์, กีฬา และกลุ่ม Media Service ประกอบด้วย ธุรกิจทีวี, วิทยุ, สื่อในโมเดิร์นเทรด ซึ่งทั้งหมดเป็นช่องทางสำคัญในการเอาคอนเทนต์ของบริษัทไปต่อยอด และสนับสนุนซึ่งกันและกัน**
สำหรับแผนงานในปี 2011 เริ่มตั้งแต่ธุรกิจเพลง บริษัทตั้งเป้ารายได้โตเพิ่มจากปีก่อน5% โดยในปีนี้ บริษัทจะเพิ่มรูปแบบแคมเปญในบริการดาวนโหลดผ่านมือถือมากขึ้น หลังพบว่า ธุรกิจดิจิตอลดาวน์โหลดนี้ มีการเติบโตทุกไตรมาส ซึ่งจุดนี้บริษัทคาดหวังกำไรไว้ในระดับสูง **ขณะที่แผ่นซีดี จะถูกลดปริมาณการผลิตและการขายลง 20-30% เพื่อหันมาเน้นการขายโดยผ่านการดาวน์โหลดมากขึ้น**
ถัดมา ธุรกิสโชว์บิส (งานอีเว้นท์ กิจกรรมการตลาด คอนเสิร์ต ฯลฯ) ปีนี้ตั้งเป้าโตเพิ่มอีก 40% จาก 533 ล้านบาท เป็นประมาณกว่า 700 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นของบริษัท ที่มีศิลปินในสังกัด มีทีมงานออกาไนเซอร์ และมีเดีย พร้อมทุกช่องทาง จึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ผลิตสินค้าได้ดี โดยในธุรกิจนี้ จะสามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทได้ประมาณ 20-30% และช่วยต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆของบริษัทได้
**สำหรับธุรกิจมีเดีย อาร์เอส ตั้งเป้าเติบโตกว่า 50% ของปี53 ซึ่งทำรายได้ 663 ล้านบาท โดยเฉพาะในแซทเทิล ไลฟ์ทีวี ที่คาดว่าจะโตเป็น3เท่า หลังจากได้รับการตอบรับจากผู้ชม และผู้ผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากที่แสดงความต้องการโฆษณาผ่านช่องทางของบริษัท ด้วยมีต้นทุนค่าโฆษณาที่ต่ำกว่าฟรีทีวี ทำให้ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดเพิ่มช่องใหม่อีก 2 ช่อง คือ ช่อง 8 อินฟินิตี้ ในแนวคิด ละคร, ซีรี่ย์, ภาพยนตร์, เกมส์โชว์ และ สถานีเพลง ในช่องเดียว ซึ่งจะเริ่ม 31 มี.ค.นี้ และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 1ช่องภายในปีนี้เช่นกัน**
ด้านธุรกิจคลื่นวิทยุ ปัจจุบัน บริษัทมีคลื่นวิทยุในการบริหารเพียง 1 คลื่น นั่นคือ 93.00 เมกะเฮิรตซ์ ที่มีเรตติ้งติดอันดับท็อป สามารถขายเวลาโฆษณาและกิจกรรมการตลาดได้หมด จนมีรายได้ในปีก่อนถึง 280ล้านบาท และเป็นธุรกิจที่สร้างมาร์จิ้นให้บริษัทสูงถึง 50-60% ในจุดนี้บริษัทเดินหน้าพัฒนาคลื่นวิทยุดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์สถานีที่กำหนดไว้แต่เดิม อีกทั้งยังสามารถปรับเพิ่มค่าโฆษณาได้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีสื่อใหม่ในมือที่ได้รับความสนใจ จากผู้ฟังและผู้ผลิตสินค้า นั่นคือ สื่อโมเดิร์นเทรด หรือ อินสโตร์มีเดีย ซึ่งเป็นสื่อวิทยุในห้างสรรพสินค้าโมเดิร์นเทรด เช่น บิ๊กซี โลตัส คาร์ฟูร์ ที่บริษัทได้มีสัญญาระยะยาวกับห้างสรรพค้าเหล่านี้อย่างน้อย 1-2 ปี พร้อมออปชั่นในการขยายสัญญาออกไปได้อีก 1-2ปี และปัจจุบันมีผู้ผลิตสินค้าหลายรายการแสดงความสนใจขอโฆษณากับบริษัทแล้ว
ปิดท้ายด้วย สื่อฟรีทีวี ในปัจจุบันบริษทมีรายการในการบริหารจัดการ 6 รายการ เป็นรายการเพลง และรายการวัยรุ่น ในปีนี้ถึงแม้จะไม่มีการปรับเพิ่มจำนวนรายการ แต่จะมีการเพิ่มคอนเทนท์ และแคมเปญใหม่เข้ามาเสริมในรายการที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มรายได้เข้ามาสู่บริษัท
**ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ ทางอาร์ เอส มีแผนจะลดบทบาทและความสำคัญลง จากเดิมจะมีภาพยนตร์ของบริษัทออกตลาดประมาณ 4-5 เรื่องต่อปี แต่ในปีนี้ จะมีเพียงเรื่องเดียวและคาดหวังรายได้หรือกำไรไม่มากนัก คือ “บางกอกกังฟู” ซึ่งใช้งบในการสร้างและกิจกรรมการตลาดประมาณ 30 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ 44 ล้าน โดยจะออกฉายช่วงกลางปีนี้**
นายดามพ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมามีผู้จัดการกองทุนจากทั้งในและต่างประเทศเข้ามาพบและขอข้อมูลจากบริษัท หลังเห็นภาพธุรกิจมีความชัดเจนแล้ว ปัจจุบันอัตราราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 6-7 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับเกิน 10 เท่า โดยล่าสุดมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 0.15 บาท/หุ้น ภายในวันที่ 29 เม.ย.นี้
**“เราตั้งเป้าจะกลับมาจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกปี เมื่อผลดำเนินการมีกำไรสุทธิ ยกเว้นกรณีที่จะการลงทุนในโครงการใหญ่ แต่ปัจจุบันเรายังไม่มีแผนลงทุนดังกล่าว และยังมีเงินสดที่พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนในงานต่างๆกว่า 400 ล้านบาท อีกทั้งอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ของเรา ซึ่งอยู่ที่0.77 เท่าก็มีแนวโน้มลดลงเหลือ 0 หรือต่ำกว่า 0.5 เท่า เพราะเราจะชำระหนี้สถาบันการเงินให้หมดภายในปีนี้ ขณะเดียวกันเร็วๆนี้ เราก็มีแผนที่จะเดินทางไปโรดโชว์ให้ข้อมูลบนักลงทุนกับ บล.ธนชาต ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ที่ปัจจุบันยังอันเดอร์แวลู”**
ทั้งนี้ ในภาพรวมแล้ว มีโอกาสไม่น้อยที่ อาร์เอสจะรักษาระดับตัวเลขรายได้ให้อยู่ในระดับสูงได้ แม้ไม่มีรายได้จากฟุตบอลโลก แต่ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของปี ...เป้าที่บริษัทมุ่งหวังไว้จะเป็นจริงแค่ไหน ก็ต้องคอยติดตามดูกันต่อไป...
เมื่อเร็วๆนี้ ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ **ดามพ์ นานา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.อาร์เอส ** ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า ปีที่ผ่านมา หลายคนมองว่า ที่อาร์เอสมีกำไรงาม มาจากฟุตบอลโลก แต่ความจริงนั้นธุรกิจหลักธุรกิจเพลงและดิจิตอล ประสบความสำเร็จสูง จนสามารถทำรายได้รวมไปกว่า 1,053.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% และยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่องทางการจำหน่ายในรูปแบบ ดิจิตอลโปรดักส์ ภายใต้แคมเปญ “ซุปเปอร์เหมา *339 “
นอกจากนี้ธุรกิจ มีเดีย สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นแตะ 663.37 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น23 % แบ่งเป็น สื่อโทรทัศน์เติบโต 21% สื่อวิทยุเพิ่มขึ้น 9% และสื่อโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้น 55% ขณะเดียวกันธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียม เข้ามาเสริมทัพเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจทีวีมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทเปิดให้บริการ ทีวีดาวเทียม 2 ช่อง คือ สบายดี ทีวี และ YOU CHANNEL
ขณะที่ธุรกิจสปอร์ต จากการบริหารสิทธิ์ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2010 ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ไปกว่า 600 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 1,066 %
** แผนงานในปีนี้ CFO อาร์เอส ยืนยันว่า แม้รายได้จากธุรกิจสปอร์ตจะขาดหายไป และต้องรอจนถึงปี2014 แต่บริษัทเชื่อว่าจะรักษาระดับเพดานรายได้ไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนได้ โดยทั้งปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 8-10% มาอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท ด้วยกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจทั้งหมดให้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม Entertainment & Content Provider ประกอบด้วย ธุรกิจเพลงและดิจิตอล, โชว์บิซ, ภาพยนตร์, กีฬา และกลุ่ม Media Service ประกอบด้วย ธุรกิจทีวี, วิทยุ, สื่อในโมเดิร์นเทรด ซึ่งทั้งหมดเป็นช่องทางสำคัญในการเอาคอนเทนต์ของบริษัทไปต่อยอด และสนับสนุนซึ่งกันและกัน**
สำหรับแผนงานในปี 2011 เริ่มตั้งแต่ธุรกิจเพลง บริษัทตั้งเป้ารายได้โตเพิ่มจากปีก่อน5% โดยในปีนี้ บริษัทจะเพิ่มรูปแบบแคมเปญในบริการดาวนโหลดผ่านมือถือมากขึ้น หลังพบว่า ธุรกิจดิจิตอลดาวน์โหลดนี้ มีการเติบโตทุกไตรมาส ซึ่งจุดนี้บริษัทคาดหวังกำไรไว้ในระดับสูง **ขณะที่แผ่นซีดี จะถูกลดปริมาณการผลิตและการขายลง 20-30% เพื่อหันมาเน้นการขายโดยผ่านการดาวน์โหลดมากขึ้น**
ถัดมา ธุรกิสโชว์บิส (งานอีเว้นท์ กิจกรรมการตลาด คอนเสิร์ต ฯลฯ) ปีนี้ตั้งเป้าโตเพิ่มอีก 40% จาก 533 ล้านบาท เป็นประมาณกว่า 700 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นของบริษัท ที่มีศิลปินในสังกัด มีทีมงานออกาไนเซอร์ และมีเดีย พร้อมทุกช่องทาง จึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ผลิตสินค้าได้ดี โดยในธุรกิจนี้ จะสามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทได้ประมาณ 20-30% และช่วยต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆของบริษัทได้
**สำหรับธุรกิจมีเดีย อาร์เอส ตั้งเป้าเติบโตกว่า 50% ของปี53 ซึ่งทำรายได้ 663 ล้านบาท โดยเฉพาะในแซทเทิล ไลฟ์ทีวี ที่คาดว่าจะโตเป็น3เท่า หลังจากได้รับการตอบรับจากผู้ชม และผู้ผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากที่แสดงความต้องการโฆษณาผ่านช่องทางของบริษัท ด้วยมีต้นทุนค่าโฆษณาที่ต่ำกว่าฟรีทีวี ทำให้ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดเพิ่มช่องใหม่อีก 2 ช่อง คือ ช่อง 8 อินฟินิตี้ ในแนวคิด ละคร, ซีรี่ย์, ภาพยนตร์, เกมส์โชว์ และ สถานีเพลง ในช่องเดียว ซึ่งจะเริ่ม 31 มี.ค.นี้ และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 1ช่องภายในปีนี้เช่นกัน**
ด้านธุรกิจคลื่นวิทยุ ปัจจุบัน บริษัทมีคลื่นวิทยุในการบริหารเพียง 1 คลื่น นั่นคือ 93.00 เมกะเฮิรตซ์ ที่มีเรตติ้งติดอันดับท็อป สามารถขายเวลาโฆษณาและกิจกรรมการตลาดได้หมด จนมีรายได้ในปีก่อนถึง 280ล้านบาท และเป็นธุรกิจที่สร้างมาร์จิ้นให้บริษัทสูงถึง 50-60% ในจุดนี้บริษัทเดินหน้าพัฒนาคลื่นวิทยุดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์สถานีที่กำหนดไว้แต่เดิม อีกทั้งยังสามารถปรับเพิ่มค่าโฆษณาได้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีสื่อใหม่ในมือที่ได้รับความสนใจ จากผู้ฟังและผู้ผลิตสินค้า นั่นคือ สื่อโมเดิร์นเทรด หรือ อินสโตร์มีเดีย ซึ่งเป็นสื่อวิทยุในห้างสรรพสินค้าโมเดิร์นเทรด เช่น บิ๊กซี โลตัส คาร์ฟูร์ ที่บริษัทได้มีสัญญาระยะยาวกับห้างสรรพค้าเหล่านี้อย่างน้อย 1-2 ปี พร้อมออปชั่นในการขยายสัญญาออกไปได้อีก 1-2ปี และปัจจุบันมีผู้ผลิตสินค้าหลายรายการแสดงความสนใจขอโฆษณากับบริษัทแล้ว
ปิดท้ายด้วย สื่อฟรีทีวี ในปัจจุบันบริษทมีรายการในการบริหารจัดการ 6 รายการ เป็นรายการเพลง และรายการวัยรุ่น ในปีนี้ถึงแม้จะไม่มีการปรับเพิ่มจำนวนรายการ แต่จะมีการเพิ่มคอนเทนท์ และแคมเปญใหม่เข้ามาเสริมในรายการที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มรายได้เข้ามาสู่บริษัท
**ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ ทางอาร์ เอส มีแผนจะลดบทบาทและความสำคัญลง จากเดิมจะมีภาพยนตร์ของบริษัทออกตลาดประมาณ 4-5 เรื่องต่อปี แต่ในปีนี้ จะมีเพียงเรื่องเดียวและคาดหวังรายได้หรือกำไรไม่มากนัก คือ “บางกอกกังฟู” ซึ่งใช้งบในการสร้างและกิจกรรมการตลาดประมาณ 30 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ 44 ล้าน โดยจะออกฉายช่วงกลางปีนี้**
นายดามพ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมามีผู้จัดการกองทุนจากทั้งในและต่างประเทศเข้ามาพบและขอข้อมูลจากบริษัท หลังเห็นภาพธุรกิจมีความชัดเจนแล้ว ปัจจุบันอัตราราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 6-7 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับเกิน 10 เท่า โดยล่าสุดมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 0.15 บาท/หุ้น ภายในวันที่ 29 เม.ย.นี้
**“เราตั้งเป้าจะกลับมาจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกปี เมื่อผลดำเนินการมีกำไรสุทธิ ยกเว้นกรณีที่จะการลงทุนในโครงการใหญ่ แต่ปัจจุบันเรายังไม่มีแผนลงทุนดังกล่าว และยังมีเงินสดที่พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนในงานต่างๆกว่า 400 ล้านบาท อีกทั้งอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ของเรา ซึ่งอยู่ที่0.77 เท่าก็มีแนวโน้มลดลงเหลือ 0 หรือต่ำกว่า 0.5 เท่า เพราะเราจะชำระหนี้สถาบันการเงินให้หมดภายในปีนี้ ขณะเดียวกันเร็วๆนี้ เราก็มีแผนที่จะเดินทางไปโรดโชว์ให้ข้อมูลบนักลงทุนกับ บล.ธนชาต ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ที่ปัจจุบันยังอันเดอร์แวลู”**
ทั้งนี้ ในภาพรวมแล้ว มีโอกาสไม่น้อยที่ อาร์เอสจะรักษาระดับตัวเลขรายได้ให้อยู่ในระดับสูงได้ แม้ไม่มีรายได้จากฟุตบอลโลก แต่ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของปี ...เป้าที่บริษัทมุ่งหวังไว้จะเป็นจริงแค่ไหน ก็ต้องคอยติดตามดูกันต่อไป...