วานนี้(9 มี.ค.)นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) การตรวจสอบการจัดเก็บรายได้ การใช้จ่ายเงินแผ่นดินและการบริหารจัดการทรัพย์สินของแผ่นดิน ในกมธ.การเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีอัยการฝ่ายคดีพิเศษมีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ยูไนเต็ด จำกัด กรณีร่วมกันแสดงราคานำเข้าบุหรี่ 2ยี่ห้อจากประเทศฟิลิปปินส์ต่ำกว่าปกติ เพื่อชำระภาษีบุหรี่ต่อกรมสรรพสามิตน้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6.8 หมื่นล้านบาททั้งที่ในชั้นสอบสวนที่พนักงานอัยการทำร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความเห็นสั่งฟ้อง ว่า อนุ กมธ.ส่งหนังสือเชิญอัยการ สรรพาสามิต และดีเอสไอมาชี้แจงกรณีนี้ วันที่ 15 มีนาคม เวลา 09.30 น. เพราะถ้าคดีถูกตัดตอนไปก่อน รัฐจะเสียหายมาก
“ เงินเดิมพันก้อนนี้พอๆ กับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมดูเบื้องต้นเห็นว่า คดีนี้ทะแม่ง สมมุติว่าเอกชนไม่ต้องเสียภาษีเลยโดยไม่ต้องสู้ในกระบวนการยุติธรรมเลย ตามสูตรสินค้าชนิดอื่นๆ ถ้าเคลียร์ได้ ก็ตัด 20% ไปเข้ากระเป๋าคนที่ช่วยเคลียร์ ถ้าเป็นกรณีนี้จะเป็นจำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ไม่รู้ว่านักการเมืองคนใดจะได้ หรือใครจะเอาไปใช้เป็นกระสุนสำหรับเลือกตั้งหรือไม่ ฉะนั้น เห็นว่าอย่างน้อยๆ ต้องทำให้เรื่องพิจารณาถึงกระบวนการยุติธรรมขั้นสุดท้ายให้ได้”นายเรืองไกร กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในการตั้งกระทู้ถามสดถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่10 มี.ค.นี้ นอกจากจะถามถึงปัญหาการนำเงินไปลงทุนของ บมจ.ปตท.(PTT) แล้ว จะตั้งกระทู้ถามสดกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัท ฟิลลิป มอริส เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ ซึ่งตนมีข้อมูลเชิงลึกที่จะโยงให้เห็นความเกี่ยวพันของคนในรัฐบาลที่ได้รับผลประโยชน์ และเรื่องนี้ถือเป็นหมัดน็อครัฐบาลได้เลย อย่างไรก็ดี คงจะไม่หยิบยกประเด็นนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากมีผู้ใหญ่มาขอร้องให้อภิปรายเรื่องนี้ตนก็ยินดี
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการตรวจสอบสำนวนคดีสำแดงราคานำเข้าภาษีบุหรี่ 2ยี่ห้อจากประเทศฟิลิปปินส์ต่ำกว่าปกติ ทำรัฐเสียหายจากการจัดเก็บภาษีกว่า 68,000 ล้านบาท ว่า ขณะนี้ดีเอสไอกำลังตรวจสอบหลักฐานประกอบสำนวนคดีของพนักงานสอบสวนดีเอสไอมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในสมัยพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดีดีเอสไอ ประกอบกับความเห็นสั่งไม่ฟ้องของนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ซึ่งมีความยาวกว่า 40 หน้ากระดาษ โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานเอกสารอย่างละเอียด จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า ในที่สุดแล้วจะใช้ดุลพินิจสั่งคดีไปในทิศทางใด
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าดีเอสไอถูกรัฐบาลแทรกแซงการสอบสวนดำเนินคดีนั้น ตนยืนยันได้ว่า นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่เคยสั่งการให้ดีเอสไอรื้อสำนวนการสอบสวน หรือสั่งการให้ไม่ฟ้องคดี โดยการเข้าพบนายกฯในเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายกฯกำชับให้ดีเอสไอสอบสวนและดำเนินการคดีพิเศษทุกคดีไปตามเนื้อหาและพยานหลักฐาน โดยเฉพาะคดีภาษีบุหรี่ของบริษัทฟิลลิป มอร์ริสฯ ทั้ง 2 คดี ซึ่งแยกเป็นกรณีนำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ทั้งนี้สำหรับคดีภาษีบุหรี่กรณีนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอ โดยในสัปดาห์หน้าตัวแทนบริษัทฟิลลิป มอร์ริสฯ ประเทศอินโดนีเซียได้นัดเข้าชี้แจงข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน
ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบ กล่าวถึงแถลงการณ์ของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ว่า จริงๆแล้วการเกิดขึ้นของบริษัท ฟิลลิป มอริส สะท้อนให้เห็นว่า การเก็บภาษีในปัจจุบันที่เก็บตามราคาหน้าโรงงานนั้น เป็นการเปิดช่องทางให้บริษัทบุหรี่จากต่างประเทศทุจริตและสำแดงราคาอันเป็นเท็จมากขึ้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะขึ้นภาษีบุหรี่ ควรจะปรับภาษีตามปริมาณ เช่น ให้คิดตามจำนวนมวน เช่น 20 มวน ก็ 20 บาท ไม่ว่านำเข้าหรือผลิตในประเทศ จากนั้นบวกภาษีหน้าโรงงานอีกที ซึ่งขณะนี้หลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป หรือ อียู ก็ล้วนแต่คิดภาษีบุหรี่ลักษณะนี้ทั้งสิ้น ซึ่งหากทำได้จะช่วยอุดช่องโหว่ตรงนี้ได้ โรงงานยาสูบในไทยก็จะได้ไม่เสียเปรียบต่างชาติด้วย ทั้งนี้คาดว่าหากมีการปรับภาษีให้เป็นไปในรูปแบดังกล่าว จะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการเก็บภาษีร่วมหมื่นล้าน .
“ เงินเดิมพันก้อนนี้พอๆ กับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมดูเบื้องต้นเห็นว่า คดีนี้ทะแม่ง สมมุติว่าเอกชนไม่ต้องเสียภาษีเลยโดยไม่ต้องสู้ในกระบวนการยุติธรรมเลย ตามสูตรสินค้าชนิดอื่นๆ ถ้าเคลียร์ได้ ก็ตัด 20% ไปเข้ากระเป๋าคนที่ช่วยเคลียร์ ถ้าเป็นกรณีนี้จะเป็นจำนวนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ไม่รู้ว่านักการเมืองคนใดจะได้ หรือใครจะเอาไปใช้เป็นกระสุนสำหรับเลือกตั้งหรือไม่ ฉะนั้น เห็นว่าอย่างน้อยๆ ต้องทำให้เรื่องพิจารณาถึงกระบวนการยุติธรรมขั้นสุดท้ายให้ได้”นายเรืองไกร กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในการตั้งกระทู้ถามสดถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในวันที่10 มี.ค.นี้ นอกจากจะถามถึงปัญหาการนำเงินไปลงทุนของ บมจ.ปตท.(PTT) แล้ว จะตั้งกระทู้ถามสดกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัท ฟิลลิป มอริส เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ ซึ่งตนมีข้อมูลเชิงลึกที่จะโยงให้เห็นความเกี่ยวพันของคนในรัฐบาลที่ได้รับผลประโยชน์ และเรื่องนี้ถือเป็นหมัดน็อครัฐบาลได้เลย อย่างไรก็ดี คงจะไม่หยิบยกประเด็นนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากมีผู้ใหญ่มาขอร้องให้อภิปรายเรื่องนี้ตนก็ยินดี
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการตรวจสอบสำนวนคดีสำแดงราคานำเข้าภาษีบุหรี่ 2ยี่ห้อจากประเทศฟิลิปปินส์ต่ำกว่าปกติ ทำรัฐเสียหายจากการจัดเก็บภาษีกว่า 68,000 ล้านบาท ว่า ขณะนี้ดีเอสไอกำลังตรวจสอบหลักฐานประกอบสำนวนคดีของพนักงานสอบสวนดีเอสไอมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในสมัยพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นอธิบดีดีเอสไอ ประกอบกับความเห็นสั่งไม่ฟ้องของนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ซึ่งมีความยาวกว่า 40 หน้ากระดาษ โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานเอกสารอย่างละเอียด จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า ในที่สุดแล้วจะใช้ดุลพินิจสั่งคดีไปในทิศทางใด
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าดีเอสไอถูกรัฐบาลแทรกแซงการสอบสวนดำเนินคดีนั้น ตนยืนยันได้ว่า นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่เคยสั่งการให้ดีเอสไอรื้อสำนวนการสอบสวน หรือสั่งการให้ไม่ฟ้องคดี โดยการเข้าพบนายกฯในเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายกฯกำชับให้ดีเอสไอสอบสวนและดำเนินการคดีพิเศษทุกคดีไปตามเนื้อหาและพยานหลักฐาน โดยเฉพาะคดีภาษีบุหรี่ของบริษัทฟิลลิป มอร์ริสฯ ทั้ง 2 คดี ซึ่งแยกเป็นกรณีนำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ทั้งนี้สำหรับคดีภาษีบุหรี่กรณีนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซียยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของดีเอสไอ โดยในสัปดาห์หน้าตัวแทนบริษัทฟิลลิป มอร์ริสฯ ประเทศอินโดนีเซียได้นัดเข้าชี้แจงข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน
ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบ กล่าวถึงแถลงการณ์ของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ว่า จริงๆแล้วการเกิดขึ้นของบริษัท ฟิลลิป มอริส สะท้อนให้เห็นว่า การเก็บภาษีในปัจจุบันที่เก็บตามราคาหน้าโรงงานนั้น เป็นการเปิดช่องทางให้บริษัทบุหรี่จากต่างประเทศทุจริตและสำแดงราคาอันเป็นเท็จมากขึ้น ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะขึ้นภาษีบุหรี่ ควรจะปรับภาษีตามปริมาณ เช่น ให้คิดตามจำนวนมวน เช่น 20 มวน ก็ 20 บาท ไม่ว่านำเข้าหรือผลิตในประเทศ จากนั้นบวกภาษีหน้าโรงงานอีกที ซึ่งขณะนี้หลายประเทศไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป หรือ อียู ก็ล้วนแต่คิดภาษีบุหรี่ลักษณะนี้ทั้งสิ้น ซึ่งหากทำได้จะช่วยอุดช่องโหว่ตรงนี้ได้ โรงงานยาสูบในไทยก็จะได้ไม่เสียเปรียบต่างชาติด้วย ทั้งนี้คาดว่าหากมีการปรับภาษีให้เป็นไปในรูปแบดังกล่าว จะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการเก็บภาษีร่วมหมื่นล้าน .
