ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความพยายามในการโยนบาปและสร้างภาพผู้ก่อความไม่สงบในชาติให้กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ของพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังไม่เคยหมดสิ้น นับตั้งแต่การชุมนุมของพันธมิตรฯได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม ซึ่ง ณ ขณะนี้กินเวลายาวนานกว่า 1 เดือนเศษแล้ว
ทั้งๆ ที่พันธมิตรฯมีเป้าหมายในการชุมนุมครั้งนี้ชัดเจนยิ่งคือ ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติด้วยการกดดันให้รัฐบาลทวงศักดิ์ศรีของชาติและของกองทัพไทยกลับคืนมา โดยการผลักดันกัมพูชาที่รุกล้ำแดนออกไป
ทว่า รัฐบาลโดยการนำของ 2 หัวหอกแห่งพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ กลับไม่เคยแม้กระทั่งใส่ใจใยดีประชาชนที่ต้องออกมานอนปักหลักพักค้าง ตากแดดตากฝนโดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก มิหนำซ้ำยังได้รับคำดูถูกเหยียดหยามจากทั้งผู้นำประเทศอย่างนายอภิสิทธิ์ และบริวารข้างกายในทุกครั้งที่โอกาสอำนวย
ขณะเดียวกัน นอกจากความไม่ใส่ใจในข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ แล้ว ในทางกลับกันรัฐบาลยังได้แสดงวิชามารต่างๆนานา ในการสร้างภาพผู้ร้ายและผู้ก่อความไม่สงบให้กับพันธมิตรฯ อีกต่างหาก ตั้งแต่การมีมติประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร การตั้งทีมงานเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์(www.manager.co.th) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “แมลงสาบ ปชป.” โดยทีมงานกลุ่มนี้พยายามไล่ล่าว่ากล่าวบุคคลที่แสดงความคิดเห็นให้ร้ายต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งสรรเสริญเยินยอกันแบบไม่ลืมหูลืมตา สวนทางกับพฤติกรรมต่างๆ โดยสิ้นเชิง
และล่าสุดได้แสดงวิชามารเต็มขั้นด้วยการอาศัยช่วงเวลาประมาณ 5.30 น. ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ชุมนุมกำลังเหนื่อยล้า โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำโดย พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. พร้อมด้วยพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย เข้ารื้อเต็นท์ของผู้ชุมนุม พร้อมกับเปิดถนนพื้นที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความห่วงใยต่อประชาชนผู้ชุมนุมโดยสงบบริเวณนั้นเลยแม้แต่น้อย
แต่ดูเหมือนว่า ตำรวจก็เป็นงานอยู่ไม่น้อย เพราะการเข้ามาไล่รื้อในครั้งนี้ไม่ปรากฏความรุนแรงเหมือนดังเช่นที่บรรดาบิ๊กในรัฐบาลต้องการ เนื่องจากไม่ได้มีการปะทะเกิดขึ้น มิหนำซ้ำภายหลังจากรื้อเสร็จแล้ว พล.ต.ต.วิชัยยังได้มอบส้มจำนวน 3 ลังให้แก่ผู้ชุมนุมผ่าน พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณอีกด้วย
ขณะที่ภายหลังยึดถนนคืนได้ 2 เลนแล้ว นายสุเทพยังประกาศกร้าวต่อไปด้วยว่า จะพยายามจะเปิดพื้นที่อื่นๆ ต่อไปอีกเพื่อให้การจราจรบนถนนราชดำเนินลื่นไหลได้ พร้อมทั้งใส่ร้ายผู้ชุมนุมว่า เป็นการชุมนุมที่สร้างปัญหาให้ประชาชนที่ใช้ถนนราชดำเนินเดือดร้อนกันไปทั่วนานหลายวันแล้ว
แน่นอน ถ้าตรรกะของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในการไล่รื้อพื้นที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นผลมาจากปัญหาการจราจร ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเดือดร้อน รวมทั้งจำนวนผู้ชุมนุมที่มีปริมาณไม่มากพอ นายอภิสิทธิ์ก็จะต้องคืนพื้นที่บริเวณซอยสวัสดี(สุขุมวิท 31) อันเป็นที่ตั้งของบ้านตนเองเช่นกัน เพราะมาตรการรักษาความปลอดภัยนายอภิสิทธิ์ก็ส่งผลทำให้ประชาชนและธุรกิจห้างร้านในซอยดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเช่นกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ โรงแรมเดอะ ยูโร แกรนด์ ที่อยู่ตรงข้ามบ้านของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่มีทหาร ตำรวจ พร้อมอาวุธ มาประจำการรักษาความปลอดภัยหน้าบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ทำให้ลูกค้าที่เคยเข้ามาพักหายไปเกือบทั้งหมด เพราะเกิดความหวาดกลัว และเกรงว่าจะไม่เกิดความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม นอกจากสองคีย์แมนดังกล่าวแล้ว อีกหนึ่งบุคคลที่ต้องบันทึกเอาไว้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็คือ ว่าที่นายกรัฐมนตรีสำรองอย่าง “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” ที่ออกอาการกราดเกรี้ยวเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถจัดการสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ ได้เมื่อมี พ.ร.บ.ความมั่นคงออกมาในช่วงแรก
พล.ต.สนั่นคงลืมไปว่า ก่อนที่ครอบครัวขจรประศาสน์จะกลับมาลืมตาอ้าปากในเวทีการเมืองที่จังหวัดหวัดพิจิตรได้นั้น พวกเขาเคยอาศัยใบบุญของพันธมิตรฯ มาอย่างไร
หรือว่า พล.ต.สนั่นจะลืมเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ที่เคยใส่ไปเรียบร้อยแล้ว
กล่าวถึงการชุมนุมของพันธมิตรฯ ตลอดเวลาที่ผ่านมาก่อนที่จะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสลายพื้นที่การชุมนุมบางส่วนนั้น สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า หาได้สร้างความรุนแรงหรือความเดือดร้อนให้กับชาติบ้านเมืองแต่อย่างใด และที่สำคัญยังชุมนุมอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญทุกประการ
ดังนั้น จึงไม่อาจมองเป็นอื่นได้ว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ลุแก่อำนาจ เพราะขนาดม็อบกลุ่มเครือข่ายผู้ได้รับความเสียหายทางการแพทย์ ที่ได้ปักหลักพักค้างบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี หยิบยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข เข้าสู่การพิจารณา ก็ยังไม่วายถูก พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 100 นาย เข้ารื้อป้ายและเต็นท์กลางดึกของวันที่ 26 ก.พ. โดยอ้างเหตุผลเดิมๆ ว่าเป็นพื้นที่เขตความมั่นคง
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาแห่งการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมก็คือ มีการเปิดโปงกระชากหน้ากากของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สังคมได้รับรู้ว่ามีธาตุแท้อย่างไร ไม่ได้ต่างจากนักการเมืองส่วนใหญ่แต่อย่างใด และที่สำคัญเขายังเป็นแค่หุ่นเชิดของกลุ่มอำนาจ-ผลประโยชน์ ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังนับตั้งแต่ผลักดันให้ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี จึงไม่ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของประชาชนอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน ตลอดเวลาของการชุมนุมยังได้เปิดโปงให้เห็นอย่างล่อนจ้อนว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีการทุจริตกันมโหฬารที่สุด แถมกลับบริหารบ้านเมืองไปสู่ก้นเหวหนักกว่ายุคระบอบทักษิณเสียด้วยซ้ำ เพราะภายใต้การนำของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้เกิดปัญหาภาวะข้าวยากหมากแพง และการทุจริตคอรัปชั่นในหลายกระทรวง ชนิดที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ รวมไปถึงยังไม่ได้แก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาให้เป็นชิ้นเป็นอันเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าจนถึงขณะนี้การบริหารประเทศล้มเหลวโดยสิ้นเชิงก็ว่าได้
กระนั้นก็ดี แม้การชุมนุมของพันธมิตรฯ ครั้งนี้จะมีมวลชนเข้าร่วมไม่มากเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่า เป็นการชุมนุมที่มีผู้ติดตามการถ่ายทอดสดไม่แตกต่างจากเดิม แถมล่าสุดยังมีแนวร่วมเพิ่มเติมจาก “คนเสื้อแดง” ที่ติดตามชม ASTV เพิ่มขึ้นอีกต่าง ดังนั้น จึงเป็นการชุมนุมที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างยิ่ง
และนั่นปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์อย่างรุนแรง
และนี่คงเป็นเหตุผลและหนทางเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องทำลายพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นเสี้ยนหนามทางการเมืองให้สิ้นซากไปทางใดทางหนึ่ง โดยการเข้าสลายพื้นที่การชุมนุมในบางส่วนและประกาศรุกคืบยึดพื้นที่คืนอย่างต่อเนื่อง แถมหลังการยึดพื้นที่ยังได้ออกมติล้างผลาญภาษีประชาชนด้วยการ มีมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบอนุมัติค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยจากเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในช่วง 12 วัน คือ ระหว่างวันที่ 9-20 กุมภาพันธ์ 2554 วงเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 94 ล้านบาท
หรือเฉลี่ยที่วันละ 8 ล้านบาท
คำถามที่ตามมาคือทำไมถึงมีการใช้งบประมาณที่มากมายมหาศาลเช่นนั้น ? และงบประมาณดังกล่าวถูกใช้ไปเพื่อกิจการอะไรบ้าง
นอกจากนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มี.ค. รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ยังสำแดงความอำมหิตผิดมนุษย์มนาด้วยการให้ พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ศอ.รอ.มาประกาศไล่รื้อ “ส้วม” ของพันธมิตรฯ ที่สร้างไว้ริมถนนราชดำเนินอีกต่างหาก จนสังคมอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ทำไมกับคนไทยด้วยกันเองที่ลุกขึ้นมากินนอนอยู่บนท้องถนนเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ถึงถูกขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้ ทีกับกัมพูชาที่มารุกล้ำอธิปไตยของไทยทั้งที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระและภูมะเขือ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ถึงไม่กล้าไปดำเนินการ
เฉกเช่นเดียวกับกรณีของนายวีระ สมความคิดและนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ที่ถูกจับในดินแดนของประเทศไทยและถูกนายฮุนเซนยัดสารพัดข้อหา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กลับไม่มีปัญญาให้ความช่วยเหลือ
เหล่านี้คือสิ่งที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ประสบปัญหาเรื่องมวลชน การประกาศกลยุทธ์ทางการตลาดครั้งใหม่ก็เกิดขึ้น เมื่อ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ประกาศนโยบายสำคัญออกมาสู่สายตาของสาธารณชน นั่นก็คือ การเตรียมดำเนินการจัดตั้ง “ทีวีสีฟ้า” ผ่านการขับเคลื่อนของมูลนิธิรักประชาธิปัตย์
นายสุเทพอ้างและให้เหตุผลในการขับเคลื่อนทีวีสีฟ้าว่า "เนื่องจากการเมืองช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายเสื้อแดงมีทีวีของเสื้อแดง ฝ่ายเสื้อเหลืองมีเอเอสทีวี ทำให้นายอภิสิทธิ์ ถูกโจมตีหนักอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่พวกผมไม่มีโอกาสได้ชี้แจง"
ส่วนช่องทางการออกอากาศก็ได้รับคำอธิบายจากนายสุเทพว่า “เบื้องต้นได้รับแจ้งว่าจะออกอากาศผ่านทางเคเบิลทีวี โดยจะมีรายการทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม”
ทั้งนี้ คำอธิบายเหตุผลประกอบแนวความคิดและการจุดพลุเรื่องทีวีสีฟ้าของนายสุเทพนั้นไม่ต้องตีความให้วุ่นวาย เด็กอมมือก็สามารถรับรู้ได้ว่าการดำเนินการทีวีสีฟ้าในครั้งนี้มีเป้าประสงค์เพียงประการเดียวคือ เพื่อเป็นกระบอกเสียงสื่อสารไปถึงชาวบ้านกลุ่มที่ยังคงรักและศรัทธาพรรคประชาธิปัตย์ เอาไว้เป็นกันชนทางการเมืองให้แก่ตนเอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อกรรับมือคู่แข่งที่เปิดฉากรอบด้านในเวลานี้
เพราะถ้าหากพิจารณากันอย่างเป็นธรรมรัฐบาลกับสิ่งที่นายสุเทพ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันนายอภิสิทธิ์โดนโจมตีแต่ฝ่ายเดียวนั้น คงต้องบอกว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่ฟังขึ้น และมีความจริงเพียงแค่มุมเดียว เพราะต้องไม่ลืมว่ารัฐบาลเองมีสื่อที่เป็นช่องทางของตนเองทั้ง สถานีวิทยุ โทรทัศน์แห่งประเทศไทยหรือเอ็นบีที ช่อง 11 และกรมประชาสัมพันธ์ ที่สามารถชี้แจงข้อมูลต่อประชาชนได้ผ่านรายการรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ อีกทั้งยังมีสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวี ช่อง 3 , 5 ,7 ,9 ที่รัฐบาลสามารถเข้าไปซื้อโฆษณาได้
ดังนั้น นี่จึงเป็นนวัตกรรมทางการเมืองชิ้นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์เพื่อหวังผลทางการเมืองแต่เพียงประการเดียว
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมองอีกมุมหนึ่ง ข้ออ้างของนายสุเทพก็อาจจะเป็นจริงก็ว่าได้ เพราะขณะนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถใช้ช่องทางสื่อของรัฐในการอธิบายสารพัดปัญหาที่รัฐบาลนี้ก่อขึ้นมาให้ประชาชนเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น เรื่องการสวาปาล์ม เรื่องข้าวยากหมากแพง การบริหารราชการแผ่นดินที่เต็มไปด้วยช่องว่างและช่องโหว่มากมาย ฯลฯ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีสื่อของตัวเองเพื่อเป็นช่องทางในการรักษาสาวกของตัวเองเอาไว้ให้ได้ ขณะเดียวกันก็สามารถชี้นำการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองต้องการทุกประการ
มิใช่เป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแต่อย่างใด
ทั้งนี้ นอกจากความคิดในการสร้างทีวีสีฟ้าแล้ว ไอเดียอันบรรเจิดล่าสุดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาพร้อมกันจากการเปิดเผยของนายสุเทพก็คือ การจัดตั้ง “สภาผู้บริจาค” เพื่อระดมทุนทางการเมืองให้กับพรรค
“ผมมีแนวคิดที่จะหาสมาชิกแบบวีไอพีจำนวน 3,000 คนทั่วประเทศ โดยคนเหล่านี้จะเข้ามาช่วยสนับสนุนพรรคด้านเงินทุนคนละ 1 ล้านบาท สามารถผ่อนได้ 4 ปี คิดเป็นเงินแค่เดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท แลกกับการให้สมาชิกเหล่านี้ในการได้เห็นนโยบาย เพื่อแสดงความเห็นติติงว่าดีหรือไม่ดี ก่อนที่จะนำเสนอต่อประชาชน ส่วนตัวอย่างให้มีสมาชิกดังกล่าวในรูปแบบของสภา เพราะหากปล่อยให้ทุนใหญ่บริจาคทีละเป็นล้านๆ จะทำให้เกิดบุญคุณต่อกัน”
แน่นอน สภาผู้บริจาคเป็นอีกหนึ่งเกมการเมืองที่รักษาพ่อยกแม่ยกขนาดแท้และดั้งเดิมของตนเองเอาไว้ให้เหนียวแน่นโดยที่ไม่แปรพักตร์ไปในทิศทางอื่น เพราะสถานการณ์การเมืองภายหลังการยุบสภาและการเลือกตั้งมีความแปรเปลี่ยนค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดวิกฤติน้ำมันปาล์มและปัญหาข้าวยากหมากแพง จนทำให้ความฝันของพรรคที่เคยวาดเอาไว้ทำท่าว่าจะร่อแร่ มิเช่นนั้นแล้ว “นายวาทิต ไชยนันทน์” ลูกชายคนโตนายเทอดพงษ์ ไชยนันท์ ส.ส.สัดส่วนของพรรคที่มีความผูกพันกับประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่องและยาวนานคงไม่หนีหน้าไปซบพรรคเพื่อไทยให้ขายขี้หน้าไปทั้งบ้านทั้งเมืองอย่างแน่นอน
และทั้งหมดนั้นคือความเคลื่อนไหวล่าสุดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะทั้งหลายทั้งปวงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเป็นสูตรสมการทางการเมืองครั้งสำคัญของพรรคเพื่อ “จัดจารีต” ให้กับบรรดาแม่ยกและพ่อยกของตัวเอง
รวมทั้งเป็นการเดินเกมรุกทางการเมืองที่ไม่ธรรมดา แต่จะประสบความสำเร็จและสามารถแก้ปัญหาความตกต่ำของพรรคได้หรือไม่ กาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์