xs
xsm
sm
md
lg

บล.กสิกรไทยเล็งปรับดัชนีหุ้นใหม่ ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์4.7%ติดบล.อันดับ5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – บล.กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นครึ่งปีหลังดีกว่าช่วง 6 เดือนแรก จากการผ่านพ้นการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะถึงจุดสูงสุด และทิศทางที่ชัดเจนของราคาน้ำมัน หลังสถานการณ์ในต่างประเทศคลี่คลาย พร้อมเตรียมปรับประมาณการดัชนีหุ้นใหม่อีกครั้ง ส่วนแผนธุรกิจเดินหน้ากลยุทธ์เดิมจับมือเครือแบงก์กสิกรฯ ดึงลูกค่ากว่า 9 ล้านบัญชีเข้าลงทุนขยายสาขาอีก 27 แห่ง ตั้งเป้ารายได้ 1,355 ล้าน มาร์เกตแชร์ 4.7% ติดบล.อันดับ5ในปีนี้

นายสุชิล นารูลา กรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนมาก จากความเสี่ยงในเรื่อง ราคาน้ำมัน และปัจจัยอื่นๆในต่างประเทศ ที่จะเข้ามาสร้างผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แผนของบริษัทคือ จะเน้นให้คำแนะนำลูกค้าถึงการลงทุนผ่านเครื่องมือในการป้องกันความสี่ยงต่างๆ เพื่อช่วยสร้างผลตอบแทนในอีกช่องทางหนึ่งซึ่ง ขณะนี้มองว่าการลงทุนผ่าน TDEX และ Set50 Index Futures น่าจะเป็นเครื่องมือลดความผันผวนและป้องกันความเสี่ยงในระยะสั้นที่ดี

" หากมองถึงพอร์ตลงทุนตอนนี้ ประเมินว่า น่าจะมีการลงทุนในหุ้น50% และอีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินสด เพราะเรามองว่าหุ้นมีโอกาสเคลื่อนที่แบบไซต์เวย์มากในปีนี้ ซึ่งครึ่งแรกปีแรกดัชนีน่าจะอยู่ช่วงประมาณ 900- 1,000 จุด ส่วนครึ่งปีหลังมองว่า การขยับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว ทำให้ความเสี่ยงในตลาดลดลง ประกอบกับปัจจัยต่อมาคือราคาน้ำมันที่สูงขึ้นนั้น เป็นความรุนแรงที่ไม่จีรัง เพราะเป็นเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองที่น่าจะมีการยุติ หรือความชัดเจนเกิดขึ้น ดังนั้นพอราคาน้ำมันลดลง อัตราเงินเฟ้อที่กังวลน่าจะลดลงไปด้วย "

อย่างไรก็ตาม จากเดิมที่ บล.กสิกรไทย เคยให้เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 1,200 จุด ในครึ่งปีหลังอาจจะมีการปรับประมาณอีกดัชนีหุ้นไทยอีกครั้งในช่วง 1- 2 สัปดาห์นี้ หลังจากที่กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ระดับ 17-18% แต่จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมากย่อมมีผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน แม้หุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งนับเป็นหุ้นกลุ่มใหญ่ใตลาดจะไม่มีผลกระทบ และราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันก็ตาม

นอกจากนี้ การปรับประมาณการดังกล่าว เชื่อว่าจะมีผลต่อประมาณการอัตราการเติบโตของจีดีพีประเทศ เช่นเดียวกับการค่าเงินบาท ที่อาจจะแข็งค่าน้อยลงจากที่คาดการณ์ไว้ ว่าปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 29 บาทต่อ1 ดอลลาร์สหรัฐ

นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง ประธานกรรมการบริหาร บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,047.82 ล้านบาท เติบโต 42% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 324.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% ส่วนแบ่งการตลาด 3.47% เป็นอันดับ13 ของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้รวม 1,355 ล้านบาท เติบโต 29% จากปี 53 ซึ่งจะทำให้บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นบล.อันดับ5ที่มีมาร์เกตแชร์ 4.7%

" การได้รับรางวัล Set Award of Honor 3ปีต่อเนื่อง เป็นสิ่งยืนยันว่าบริษัทเดินมาถูกทางแล้วในการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ส่วนปีนี้ บริษัทยังมุ่งเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น ที่จะเกิดขึ้นในปี55 โดยใช้กลยุทธ์เดิม ควบคู่กับการทำงานร่วมกับเครือธนาคารกสิกรไทย รวมทั้งบริหารจัดการในเชิงต้นทุนให้มีประสิทธิภาพโดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมามีนักลงทุนใหม่เข้าตลาดหุ้น 25,000 ราย ซึ่งกว่า 40-50% เป็นผลมาจากการให้ความรู้และสร้างนักลงทุนของบริษัท ซึ่งมาจากกิจกรรมการตลาดที่จัดทำต่อเนื่อง เห็นได้จากแอคทีฟ เรโช ที่โตระดับ 33% ขณะที่ทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่26% และเชื่อว่าจะสามารถดึงลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย ที่มีกว่า 9 ล้านบัญชีให้หันมาลงทุนผ่านบล.กสิกรไทยได้มากขึ้น ส่วนการปรับลดค่าคอมมิชั่นแบบขั้นบันไดที่ผ่านมา แม้ทางบริษัทจะปรับช้า หรือน้อยกว่าที่อื่น แต่ก็ไม่สร้างผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด เห็นได้จากปริมาณลูกค้าที่โตขึ้นมาถึง 6,000 บัญชีในปัจจุบัน "

นายวรวัจน์ สุวคนธ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทมีดีลการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวม กิจการ(M&A) ประมาณ 3-4 ดีล เช่น การควบรวมกิจการของบมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) กับ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ขณะเดียวกัน จะมีการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ในครึ่งปีแรก จะมี 2 ดีลให้แก่บมจ.น้ำตาลครบุรี และบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ รวมถึงจะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน(PO) และเสนอขายหุ้นแก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) 2 บริษัทที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ทำให้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ ประมาณ 20-25% ของ รายได้รวมที่คาดว่าจะเติบโต 29% จากปีก่อน

" ปีนี้เราจะเห็นดีลการควบรวมกิจการในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งการแข่งขันในตลาดโลก และในภูมิภาค ซึ่งแต่ละบริษัทจะให้ความสำคัญ ในเรื่องของการ ลดต้นทุน เพื่อทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด "

นอกจากนี้ปีนี้ยังจะขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 27 สาขา โดยเป็นสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งสิ้น 25 สาขา และเป็นสาขาเต็มรูปแบบในต่างจังหวัดอีก 2 แห่ง คือภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้ ณ สิ้นปีจะมีสาขาทั้งสิ้น 38 แห่ง ขณะเดียวกันจะเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาดอีก 150 คนเพื่อรองรับการเปิดสาขาที่มากขึ้น ซึ่งโดยรวมสิ้นปีนี้ บริษัทจะมีมาร์เกตติ้ง 310 คน
กำลังโหลดความคิดเห็น