เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ ( 3 มี.ค. ) ที่สำนักงานศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ ได้จัดงานแถลงข่าวการจัดงานครบรอบ 10 ปี ศาลปกครอง ในชื่อว่า “10 ปีศาลปกครองหลักประกันความเป็นธรรมในสังคม” โดยนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวใจความตอนหนึ่งว่า ศาลปกครองเป็นศาลที่ใช้อำนาจตุลาการ เพื่ออำนวยความยุติธรรมบนพื้นฐานให้เกิดความสมดุลในสิทธิเสรีภาพของประชาชนกับฝ่ายปฏิบัติทางปกครอง ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมา การทำงานของศาลปกครองถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร หากมองจากผลการสำรวจจากประชาชน ที่ให้ความเชื่อมั่นต่อศาลปกครองมาก ถึงมากที่สุด รวมทั้งยังสำรวจพบว่า ศาลปกครองได้รับการยอมรับถึงร้อยละ 90 จากหน่วยงานต่างๆ นำหลักกฎหมายไปใช้ในการปฏิบัติราชการบริหารแผ่นดินอีกด้วย
นายหัสวุฒิ กล่าวต่อว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองจำนวนทั้งสิ้น 63,148 คดี โดยคดีที่รับเข้าในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2549-2553 มีปริมาณคดีที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคดีในช่วงระยะเวลา 5 ปีแรกของการเปิดทำการศาลปกครอง ตั้งแต่ปี 2544-2548 โดยมีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณา 6,200 -7,200 คดีต่อปี หรือมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6,878 คดีต่อปี ซึ่งมีคดีปกครองที่พิจารณาพิพากษาแล้วเสร็จทั้งสิ้น 48,696 คดี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา 14,098 คดี
สำหรับศาลปกครองสูงสุด มีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 16,333 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 10,670 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 5,576 คดี
ในส่วนของศาลปกครองชั้นต้น มีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 46,815 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 38,219 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 8,522 คดี ทั้งนี้ ประเภทของเรื่องที่มีการฟ้องมากที่สุดของศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุด คือเกี่ยวกับการบริหารบุคคล และวินัย 16,054 คดี คดีเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ละเมิด และความรับผิดชอบอย่างอื่น 12,012 คดี คดีเกี่ยวกับพัสดุ และสัญญาทางปกครอง 9,111 คดี และคดีเกี่ยวกับการควบคุมอาคาร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8,899 คดี
อย่างไรก็ตามคดีต่างๆ ที่มีการยื่นฟ้องศาลปกครองจะพยายามเร่งรัดการพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
นายหัสวุฒิ ยังกล่าวถึงคดีมาบตาพุดว่า ตนไม่ลำบากใจกับคดีดังกล่าว และเห็นว่าปัญหาที่เกิดจากการออกกฎหมายต่างๆ ของภาครัฐจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการวินิจฉัย ทั้งนี้ยอมรับว่า การที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็มีผู้มาต่อว่าตน จึงได้บอกให้ลองพาครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่ เพราะที่ผ่านมาเคยไปตรวจเยี่ยมศาลปกครองระยอง เมื่อฝนตกทุกคนจะวิ่งหลบฝน เนื่องจากฝนที่ตกลงมามีสารปนเปื้อน รวมทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่ศาลคนใดอยากย้ายไปทำงานที่ศาลจังหวัดระยอง แม้ว่าจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ตนจึงคิดว่าถ้านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ถูกปล่อยปะละเลย และสร้างมลพิษนั้น คนในอนาคตควรได้รับการคุ้มครองด้วย
เมื่อถามว่า สังคมไทยมีความความแตกแยกทางความคิด และเกิดตุลาการภิวัฒน์ เพราะไม่ว่าศาลใดก็ถูกนินทาว่าร้าย หากต้องมียุ่งเกี่ยวกับคดีการเมือง ในส่วนของศาลปกครอง เตรียมรับสถานการณ์นี้อย่างไร นายหัสวุฒิ กล่าวว่า ตนก็คิด แต่ไม่ได้หนักใจ เพราะการเป็นตุลาการ หรือการเป็นเจ้าหน้าที่ศาล จะต้องมีหลัก 4 ประการ คือ 1. ต้องมีความรู้ความสามารถ 2. ต้องซื่อสัตย์สุจริต 3. ต้องมีจุดยืนที่เป็นกลาง และยึดหลักความถูกต้อง 4. ต้องมีความกล้าหาญในการพิจารณาคดี เพื่อให้คำตัดสินจะไม่เบี่ยงเบนความเป็นธรรม
นายหัสวุฒิ กล่าวต่อว่า 10 ปีที่ผ่านมา มีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองจำนวนทั้งสิ้น 63,148 คดี โดยคดีที่รับเข้าในช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2549-2553 มีปริมาณคดีที่เพิ่มสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับจำนวนคดีในช่วงระยะเวลา 5 ปีแรกของการเปิดทำการศาลปกครอง ตั้งแต่ปี 2544-2548 โดยมีคดีที่รับเข้าสู่การพิจารณา 6,200 -7,200 คดีต่อปี หรือมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6,878 คดีต่อปี ซึ่งมีคดีปกครองที่พิจารณาพิพากษาแล้วเสร็จทั้งสิ้น 48,696 คดี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา 14,098 คดี
สำหรับศาลปกครองสูงสุด มีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 16,333 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 10,670 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 5,576 คดี
ในส่วนของศาลปกครองชั้นต้น มีคดีรับเข้าทั้งสิ้น 46,815 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 38,219 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 8,522 คดี ทั้งนี้ ประเภทของเรื่องที่มีการฟ้องมากที่สุดของศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครองสูงสุด คือเกี่ยวกับการบริหารบุคคล และวินัย 16,054 คดี คดีเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ละเมิด และความรับผิดชอบอย่างอื่น 12,012 คดี คดีเกี่ยวกับพัสดุ และสัญญาทางปกครอง 9,111 คดี และคดีเกี่ยวกับการควบคุมอาคาร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 8,899 คดี
อย่างไรก็ตามคดีต่างๆ ที่มีการยื่นฟ้องศาลปกครองจะพยายามเร่งรัดการพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี
นายหัสวุฒิ ยังกล่าวถึงคดีมาบตาพุดว่า ตนไม่ลำบากใจกับคดีดังกล่าว และเห็นว่าปัญหาที่เกิดจากการออกกฎหมายต่างๆ ของภาครัฐจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการวินิจฉัย ทั้งนี้ยอมรับว่า การที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็มีผู้มาต่อว่าตน จึงได้บอกให้ลองพาครอบครัวไปอยู่ในพื้นที่ เพราะที่ผ่านมาเคยไปตรวจเยี่ยมศาลปกครองระยอง เมื่อฝนตกทุกคนจะวิ่งหลบฝน เนื่องจากฝนที่ตกลงมามีสารปนเปื้อน รวมทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่ศาลคนใดอยากย้ายไปทำงานที่ศาลจังหวัดระยอง แม้ว่าจะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ตนจึงคิดว่าถ้านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ถูกปล่อยปะละเลย และสร้างมลพิษนั้น คนในอนาคตควรได้รับการคุ้มครองด้วย
เมื่อถามว่า สังคมไทยมีความความแตกแยกทางความคิด และเกิดตุลาการภิวัฒน์ เพราะไม่ว่าศาลใดก็ถูกนินทาว่าร้าย หากต้องมียุ่งเกี่ยวกับคดีการเมือง ในส่วนของศาลปกครอง เตรียมรับสถานการณ์นี้อย่างไร นายหัสวุฒิ กล่าวว่า ตนก็คิด แต่ไม่ได้หนักใจ เพราะการเป็นตุลาการ หรือการเป็นเจ้าหน้าที่ศาล จะต้องมีหลัก 4 ประการ คือ 1. ต้องมีความรู้ความสามารถ 2. ต้องซื่อสัตย์สุจริต 3. ต้องมีจุดยืนที่เป็นกลาง และยึดหลักความถูกต้อง 4. ต้องมีความกล้าหาญในการพิจารณาคดี เพื่อให้คำตัดสินจะไม่เบี่ยงเบนความเป็นธรรม
