แฉออกมาแล้วบัญชีหนังหมา อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลโครตโกง หลังฝ่ายค้านเพื่อไทยถกเถียงคุยกันไปก็หลายตลบ ทั้งวงเล็กวงใหญ่ เขย่ากันอีกนับไม่ถ้วน สุดท้ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์”หัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคเพื่อไทย แถลงยืนยันความชัดเจนเบื้องต้นแล้วว่า
จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรวม10 คนโดยมีรายชื่อดังนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง, นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย, นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม, นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์, นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ
โดยมิ่งขวัญแจงว่า"การยื่นแบ่งเป็น นายกฯ 1 คน, รองนายกฯ 1 คน, รัฐมนตรีว่าการ 6 คน, รมต.ประจำสำนักนายกฯ 1 คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 1 คน โดยยื่นถอดถอนทั้งหมด 9 คน เพราะมีหลักฐานการทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกเว้นนายกษิตเท่านั้นที่ไม่ถูกยื่นถอดถอน"
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีหน่อเดียวที่โดนจองกฐินมาตลอดติดทุกโผ ไม่ว่าจะโผจากดูไบ ที่ทักษิณ ชินวัตร สั่งการมา หรือโผจากคณะทำงานติตดามตรวจสอบการทุจริตรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่มีน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นหัวเรือใหญ่ รวมถึงโผจากคณะทำงานเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจของมิ่งขวัญ
นั่นก็คือ จุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่โดนแบบทู อิน วัน คือยื่นถอดถอนและอภิปราย
ต้องดูว่า “เสี่ยไก่-จุติ”จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ แต่ข่าวว่า จุติ ที่รู้ตัวก่อนล่วงหน้ามานาน ซุ่มทำการบ้านฟิตซ้อมเตรียมข้อมูลและหาเอกสารต่างๆ มาเตรียมชี้แจงข้อกล่าวหาของพรรคเพื่อไทยมานานหลายอาทิตย์แล้ว เพราะจุติรู้ดีว่า ครั้งนี้ เพื่อไทย คงหวังสับเละแน่นอน
ด้วยเรื่องเนื้อๆเน้นๆ ก็คือปมปัญหาการอนุมัติสัญญาประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จีที่กลุ่มทุนของสองพรรคการเมืองใหญ่ในรัฐบาลคือ กลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น ในเครือซีพี ซึ่งใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เข้าไปซื้อกิจการบริษัทฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย หรือฮัทช์ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบCDMA ในโครงการของกสท.มูลค่า 6,300 ล้านบาท ซึ่งได้มีการทำสัญญากันไปเมื่อ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้ทรูกำลังจะกลายเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายแรกที่จะให้บริการมือถือ 3 จี ไม่ใช่เอไอเอส ที่มีลูกค้าในโครงข่ายมากที่สุด
และอีกประเด็น ก็คาดว่าจะเป็นปมปัญหาเรื่องที่กลุ่มสามารถที่จับมือกับล็อกซเล่ย์ หัวเว่ย และโนเกีย-ซีเมนส์ในนามกิจการร่วมค้าเอสแอล คอนเซอร์เดียมชนะการประมูลโครงการสร้างโครงข่าย 3 จี ของทีโอทีมูลค่า 16,200 ล้านบาทไปเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีข่าวว่ามีการวิ่งเต้นผ่านพรรคภูมิใจไทยด้วย
โดยแนวทางการชี้แจงของจุติ เชื่อได้ว่าเจ้าตัว คงโยนว่าเป็นเรื่องการบริหารและตัดสินใจของบอร์ดกสท.-ทีโอที ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอซีที อีกทั้งพอมีเสียงท้วงติงจากฝ่ายต่างๆ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือการออกมาตรวจสอบของนักวิชาการอย่างสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์จากทีดีอาร์ไอ กระทรวงไอซีทีก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีการทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ช่วยดูร่างสัญญาต่างๆ
ซึ่งก็ต้องดูว่า เพื่อไทย จะอภิปรายเรื่องนี้อย่างไร ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าเพื่อไทย กำลังหาข้อมูลคนในกระทรวงไอซีที ทั้งบรรดาหน้าห้อง คนช่วยงานของจุติ รวมถึงแกนนำประชาธิปัตย์หรือคนในพรรคที่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องในการตบทรัพย์แลกการอนุมัติทั้งสองโครงการ
ไม่รู้ว่า เพื่อไทยจะมีหลักฐานอย่างที่ว่าหนักแน่นพอหรือไม่
เพราะหากเพื่อไทยจะโยงว่า สองกลุ่มที่ได้คือทรูกับสามารถ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย แต่ช่องทางที่จะหลบเลี่ยงออกไปได้ก็พอมี คือจุติคงจะชี้แจงว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องแล้วเป็นเรื่องของบอร์ดทีโอที-กสท.แล้ว มันยังเป็นการได้งานไปโดยผ่านการประมูล โดยการเสนอราคาและเงื่อนไขที่ทำให้รัฐได้เปรียบที่สุด
แถมจะพูดเอาบุญคุณกับคนไทยทั้งประเทศว่า เป็นประโยชน์กับประชาชน ที่จะมีระบบการสื่อสารโทรคมนาคมแบบ 3 จีที่ก้าวล้ำทันสมัย และนำมาใช้ประโยชน์ได้กับคนทุกกลุ่ม จะได้เลิกพูดกันเสียทีว่าขนาดลาว-เวียดนาม ยังมี 3 จีใช้ แต่ไทยพัฒนากว่าหลายด้านกลับไม่มีเสียที
ถ้าไม่มีข้อมูลลึกจริง ดีไม่ดี จะกลายเป็นเวทีให้จุติและประชาธิปัตย์นอกจากได้ฟอกตัวเองแล้วยังใช้เป็นเวทีหาเสียงไปเลย
ใครๆ ก็รู้ว่า เพื่อไทย ที่พยายามจะทั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจจุติ ส่วนสำคัญก็เป็นเพราะ ที่ผ่านมาเกือบหนึ่งปี จุติ ไล่บี้เช็คบิล ชินคอร์ป-เอไอเอส ไม่เลิกรา นับแต่วันเข้ารับตำแหน่งจนกำลังจะยุบสภาอยู่แล้ว
แม้ชินคอร์ป-เอไอเอส-ไทยคม ทักษิณ ชินวัตร จะไม่ได้ถือหุ้นในชินคอร์ปแล้ว แต่ก็เชื่อว่าน่าจะมีผลประโยชน์บางอย่างอยู่เช่น เช่นการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทเหล่านี้ผ่านนอมินี ผนวกกับการไล่บี้กลุ่มบริษัทชินคอร์ป เช่นการฟ้องร้องทวงเงินค่ากลุ่มบริษัทเหล่านี้ทำผิดสัญญา แม้ทักษิณจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัทเหล่านี้แล้ว
การไล่บี้เอาผิดกับชินคอร์ปทั้งหมด แม้ไอซีที-จุติ อ้างว่าเป็นเพราะทำตามคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการดิสเครดิตทักษิณและพรรคเพื่อไทยไปในตัวว่า เล่นซิกแซกกับรัฐ
อย่างเรื่องที่มีการไปแก้ไขสัญญาสัมปทาน ให้บริษัทบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมป ทานในสาระสำคัญ ทำให้รัฐเสียหายจึงต้องมีการฟ้องร้อง
หรือการสั่งให้บริษัทชินคอร์ปต้องดำเนินการจัดให้มีการส่งดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ขึ้นสู่วงโคจรหลังศาลฎีกาฯตัดสินว่าดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่ได้เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3
รวมถึงสั่งให้ชินคอร์ปนำส่งคืนเงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ไอซีที ตลอดจนล่าสุดที่จุติลงมากำกับการให้กสท.ยื่นฟ้องเอาผิดครม.สมัยทักษิณ ชินวัตร ที่มีมติไม่ชอบในการหักส่วนแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซนต์ไปเป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทคมนาคม ทำให้กสท.ได้รับความเสียหาย 4 หมื่นล้านบาท จึงต้องฟ้องไล่เบี้ยครม.ทักษิณ
ทั้งหมดทำให้กลุ่มชินคอร์ป ที่พยายามขอเคลียร์กับรัฐบาลหลายรอบ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของไอซีทีในยุคจุติ ขณะเดียวกันทักษิณก็เสียเครดิตว่าทำให้ประเทศเสียหายจำนวนมาก
มันก็เลยทำให้ เพื่อไทย-ทักษิณ ต้อง ใช้เวทีอภิปรายรอบนี้ เล่นบทฝ่ายแค้นทั้งซักฟอกด้วยพ่วงถอดถอนด้วย ด้วยหวังจะเอาคืน
กะทุบ จุติ ให้ร่วง นั่นเอง
จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรวม10 คนโดยมีรายชื่อดังนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง, นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย, นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม, นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์, นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ
โดยมิ่งขวัญแจงว่า"การยื่นแบ่งเป็น นายกฯ 1 คน, รองนายกฯ 1 คน, รัฐมนตรีว่าการ 6 คน, รมต.ประจำสำนักนายกฯ 1 คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก 1 คน โดยยื่นถอดถอนทั้งหมด 9 คน เพราะมีหลักฐานการทุจริตเข้ามาเกี่ยวข้อง ยกเว้นนายกษิตเท่านั้นที่ไม่ถูกยื่นถอดถอน"
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีหน่อเดียวที่โดนจองกฐินมาตลอดติดทุกโผ ไม่ว่าจะโผจากดูไบ ที่ทักษิณ ชินวัตร สั่งการมา หรือโผจากคณะทำงานติตดามตรวจสอบการทุจริตรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่มีน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นหัวเรือใหญ่ รวมถึงโผจากคณะทำงานเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจของมิ่งขวัญ
นั่นก็คือ จุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่โดนแบบทู อิน วัน คือยื่นถอดถอนและอภิปราย
ต้องดูว่า “เสี่ยไก่-จุติ”จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ แต่ข่าวว่า จุติ ที่รู้ตัวก่อนล่วงหน้ามานาน ซุ่มทำการบ้านฟิตซ้อมเตรียมข้อมูลและหาเอกสารต่างๆ มาเตรียมชี้แจงข้อกล่าวหาของพรรคเพื่อไทยมานานหลายอาทิตย์แล้ว เพราะจุติรู้ดีว่า ครั้งนี้ เพื่อไทย คงหวังสับเละแน่นอน
ด้วยเรื่องเนื้อๆเน้นๆ ก็คือปมปัญหาการอนุมัติสัญญาประกอบธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จีที่กลุ่มทุนของสองพรรคการเมืองใหญ่ในรัฐบาลคือ กลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น ในเครือซีพี ซึ่งใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เข้าไปซื้อกิจการบริษัทฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย หรือฮัทช์ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบCDMA ในโครงการของกสท.มูลค่า 6,300 ล้านบาท ซึ่งได้มีการทำสัญญากันไปเมื่อ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้ทรูกำลังจะกลายเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายแรกที่จะให้บริการมือถือ 3 จี ไม่ใช่เอไอเอส ที่มีลูกค้าในโครงข่ายมากที่สุด
และอีกประเด็น ก็คาดว่าจะเป็นปมปัญหาเรื่องที่กลุ่มสามารถที่จับมือกับล็อกซเล่ย์ หัวเว่ย และโนเกีย-ซีเมนส์ในนามกิจการร่วมค้าเอสแอล คอนเซอร์เดียมชนะการประมูลโครงการสร้างโครงข่าย 3 จี ของทีโอทีมูลค่า 16,200 ล้านบาทไปเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีข่าวว่ามีการวิ่งเต้นผ่านพรรคภูมิใจไทยด้วย
โดยแนวทางการชี้แจงของจุติ เชื่อได้ว่าเจ้าตัว คงโยนว่าเป็นเรื่องการบริหารและตัดสินใจของบอร์ดกสท.-ทีโอที ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไอซีที อีกทั้งพอมีเสียงท้วงติงจากฝ่ายต่างๆ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือการออกมาตรวจสอบของนักวิชาการอย่างสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์จากทีดีอาร์ไอ กระทรวงไอซีทีก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีการทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ช่วยดูร่างสัญญาต่างๆ
ซึ่งก็ต้องดูว่า เพื่อไทย จะอภิปรายเรื่องนี้อย่างไร ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าเพื่อไทย กำลังหาข้อมูลคนในกระทรวงไอซีที ทั้งบรรดาหน้าห้อง คนช่วยงานของจุติ รวมถึงแกนนำประชาธิปัตย์หรือคนในพรรคที่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องในการตบทรัพย์แลกการอนุมัติทั้งสองโครงการ
ไม่รู้ว่า เพื่อไทยจะมีหลักฐานอย่างที่ว่าหนักแน่นพอหรือไม่
เพราะหากเพื่อไทยจะโยงว่า สองกลุ่มที่ได้คือทรูกับสามารถ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย แต่ช่องทางที่จะหลบเลี่ยงออกไปได้ก็พอมี คือจุติคงจะชี้แจงว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องแล้วเป็นเรื่องของบอร์ดทีโอที-กสท.แล้ว มันยังเป็นการได้งานไปโดยผ่านการประมูล โดยการเสนอราคาและเงื่อนไขที่ทำให้รัฐได้เปรียบที่สุด
แถมจะพูดเอาบุญคุณกับคนไทยทั้งประเทศว่า เป็นประโยชน์กับประชาชน ที่จะมีระบบการสื่อสารโทรคมนาคมแบบ 3 จีที่ก้าวล้ำทันสมัย และนำมาใช้ประโยชน์ได้กับคนทุกกลุ่ม จะได้เลิกพูดกันเสียทีว่าขนาดลาว-เวียดนาม ยังมี 3 จีใช้ แต่ไทยพัฒนากว่าหลายด้านกลับไม่มีเสียที
ถ้าไม่มีข้อมูลลึกจริง ดีไม่ดี จะกลายเป็นเวทีให้จุติและประชาธิปัตย์นอกจากได้ฟอกตัวเองแล้วยังใช้เป็นเวทีหาเสียงไปเลย
ใครๆ ก็รู้ว่า เพื่อไทย ที่พยายามจะทั้งอภิปรายไม่ไว้วางใจจุติ ส่วนสำคัญก็เป็นเพราะ ที่ผ่านมาเกือบหนึ่งปี จุติ ไล่บี้เช็คบิล ชินคอร์ป-เอไอเอส ไม่เลิกรา นับแต่วันเข้ารับตำแหน่งจนกำลังจะยุบสภาอยู่แล้ว
แม้ชินคอร์ป-เอไอเอส-ไทยคม ทักษิณ ชินวัตร จะไม่ได้ถือหุ้นในชินคอร์ปแล้ว แต่ก็เชื่อว่าน่าจะมีผลประโยชน์บางอย่างอยู่เช่น เช่นการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทเหล่านี้ผ่านนอมินี ผนวกกับการไล่บี้กลุ่มบริษัทชินคอร์ป เช่นการฟ้องร้องทวงเงินค่ากลุ่มบริษัทเหล่านี้ทำผิดสัญญา แม้ทักษิณจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัทเหล่านี้แล้ว
การไล่บี้เอาผิดกับชินคอร์ปทั้งหมด แม้ไอซีที-จุติ อ้างว่าเป็นเพราะทำตามคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการดิสเครดิตทักษิณและพรรคเพื่อไทยไปในตัวว่า เล่นซิกแซกกับรัฐ
อย่างเรื่องที่มีการไปแก้ไขสัญญาสัมปทาน ให้บริษัทบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมป ทานในสาระสำคัญ ทำให้รัฐเสียหายจึงต้องมีการฟ้องร้อง
หรือการสั่งให้บริษัทชินคอร์ปต้องดำเนินการจัดให้มีการส่งดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ขึ้นสู่วงโคจรหลังศาลฎีกาฯตัดสินว่าดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่ได้เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3
รวมถึงสั่งให้ชินคอร์ปนำส่งคืนเงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 ที่ได้รับความเสียหาย จำนวน 6,765,299 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ไอซีที ตลอดจนล่าสุดที่จุติลงมากำกับการให้กสท.ยื่นฟ้องเอาผิดครม.สมัยทักษิณ ชินวัตร ที่มีมติไม่ชอบในการหักส่วนแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซนต์ไปเป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทคมนาคม ทำให้กสท.ได้รับความเสียหาย 4 หมื่นล้านบาท จึงต้องฟ้องไล่เบี้ยครม.ทักษิณ
ทั้งหมดทำให้กลุ่มชินคอร์ป ที่พยายามขอเคลียร์กับรัฐบาลหลายรอบ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของไอซีทีในยุคจุติ ขณะเดียวกันทักษิณก็เสียเครดิตว่าทำให้ประเทศเสียหายจำนวนมาก
มันก็เลยทำให้ เพื่อไทย-ทักษิณ ต้อง ใช้เวทีอภิปรายรอบนี้ เล่นบทฝ่ายแค้นทั้งซักฟอกด้วยพ่วงถอดถอนด้วย ด้วยหวังจะเอาคืน
กะทุบ จุติ ให้ร่วง นั่นเอง