xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ความผันผวนของเศรษฐกิจและรัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ประกาศว่า จีดีพี ในไตรมาส 4 ปี 2553 ขยายตัว 3.8 % และจีดีพี ของปี 2553 โต 7.8 % สะท้อนถึงทิศทางเศรษฐกิจในปีนี้พอสมควร

ขณะเดียวกันผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็ออกมาดี โดยกำไรต่อหุ้นขยายตัว 24.64 % นักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นสะสมตลอดปี 2553 จำนวนมูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท

สิ่งที่น่าส่งผลกระทบต่อความคาดหวังของไทยในปีนี้ ก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยควรจะมีทิศทางบวก แต่เนื่องจากฐานมูลค่าจีดีพีของปี 2553 ค่อนข้างใหญ่ ทำให้การขยายของเศรษฐกิจในปีนี้อาจจะไม่มากเท่าปีก่อน

สภาพัฒน์คาดการณ์ว่า จีดีพีของปี 54 จะขยายตัว 3.5-4.5 % เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันน่าเป็นห่วง โดยอัตราเงินเฟ้อของเดือนมกราคมอยู่ 3 %
 
ขณะเดียวกันสถานกาณ์ราคาอาหาร ต้นทุนแรงงาน ต้นทุนพลังงาน ต้นทุนการผลิต ฯลฯ ในปัจจุบันล้วนปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้เงินเฟ้อทั้งปีปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้สภาพัฒน์คาดการณ์ว่าปี 54 ตัวเลขเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.8 %-3.8 %

การที่เงินเฟ้อสูงขึ้น จะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ณ ปัจจุบันติดลบอยู่ 0.75 % อาจติดลบมากขึ้นไปอีก อาจจะเป็นสาเหตุให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันสถานการณ์ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก จนทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

โดยเฉพาะการชุนนุมใหญ่ของกลุ่มต่างๆ และการปล่อยตัวแกนนำ นปช. 7 คนออกมาเสวยสุข หลังจากก่อการจลาจลไปพักใหญ่

หลังจากศาลอาญา ไต่สวนพยานปากสำคัญ คือ ดร.คณิต ณ นคร และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา

วันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลอาญา รัชดาฯ ว่า ศาลได้อ่านคำสั่ง อนุญาตให้ประกันตัว 7 แกนนำ นปช.และ 1 แนวร่วม

แกนนำทั้ง 7 คนประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก จำเลย  ส่วน 1 แนวร่วมคือ นายภูมิกิติ หรือ พิเชษฐ์ สุจินดาทอง


คำสั่งศาลระบุว่า  ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนแล้วเห็นว่า กรณีมีข้อเท็จจริงบางประการที่จะให้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากคำสั่งเดิมได้ จึงเห็นควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยที่ 3,4,5,6,7,8,10 และ 11 โดยตีราคาประกันคนละ 600,000 บาท ทั้งนี้ห้ามมิให้จำเลยดังกล่าวกระทำการอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน อันที่จะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินและห้ามจำเลยดังกล่าวเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

วันรุ่งขึ้น “ธิดา ถาวรเศรษฐ” รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วยแกนนำคนเสื้อแดง เปิดแถลงข่าวประจำสัปดาห์ที่ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว วันที่ 23 กุมภาพันธ์ โดยมี นพ.เหวง โตจิราการ และนายขวัญชัย (สาระคำ) ไพรพนา อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวได้มาทักทายกับมวลชนคนเสื้อแดง

เนื้อถ้อยแถลงคือ การนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 12 มีนาคมนี้ เพื่อรำลึกครบรอบ 1 ปี การเคลื่อนพลทั้งแผ่นดินของคนเสื้อแดง

"จะมีแกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 7 คนมาร่วมพบปะพี่น้องและปราศรัยด้วย เนื่องจากคำสั่งศาลที่ให้ประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงนั้นห้ามยุยง ปลุกปั่น และห้ามออกนอกประเทศ แต่ไม่ได้ห้ามเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและขับไล่รัฐบาล"วรวุฒิ วิชัยดิษฐ รักษาการโฆษก นปช.
นั่นคือ สัญญานการเคลื่อนไหวที่ส่อแววจะนำไปสู่ความรุนแรงอีกครั้ง

จนทำให้หลายคนเชื่อว่า “แนวทางปรองดองสมานฉันท์” กำลังกลายเป็นแนวทางสร้างกองกำลังของคนบางคน

โดยเฉพาะ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์

ขณะที่การเลือกตั้งครั้งใหม่มีแนวโน้มว่า จะเกิดขึ้นในปีนี้ค่อนข้างแน่นอน อาจจะเม.ย.หรือ พ.ค.จึงจะมีการยุบสภา  เหตุการณ์เหล่านี้ จะเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยในปีนี้คงไม่เหมือนปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ความขัดแย้งและความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งจะมีผลต่อราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น และตลาดหุ้นทั่วโลก เหตุการณ์เหล่านั้นเริ่มต้นจากพื้นฐานปัญหาประเทศที่คล้ายกัน อันเกิดจาก

1 ) การถูกกดขี่ จากการปกครองแบบ Autocratic ( กึ่งเผด็จการ ) เป็นเวลายาวนาน อียิปต์ 30 ปี ลิเบีย 42 ปี

2 ) จำนวนประชากรวัยฉกรรจ์ ส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้ มีจำนวนการว่างงานสูง ออกมาร่วมก่อการประท้วงพร้อม โดยไม่กลัวความตาย เพราะวัยรุ่นแหล่านี้มีประสบการณ์ชีวิตต่างกับผู้นำเผด็จการเหล่านั้น

มีการคาดการณ์กันว่า ปัญหาการประท้วง เรียกร้องประชาธิปไตย จะเกิดขึ้นในประเทศแถบตะวันออกกลางที่มีความเสี่ยง ได้แก่ บาร์เรน อิหร่าน เยเมน โมร็อคโค จอร์แดน อิสราเอล

ประเทศเหล่านี้อยู่รายรอบประเทศซาอุดิอาระเบีย จนอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่ออุปทานของน้ำมันดิบ เพราะปัญหาการชุมนุมเกิดในประเทศที่มีแหล่งผลิตน้ำมันกลุ่มโอเปก

ปัญหาน้ำมันอาจจะทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก

ขณะที่เมืองไทยก็มีปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด ทั้งๆที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มมาก่อน จนกระทั่งดีเอสไอได้เข้าตรวจสอบเอกสารการผลิตน้ำมันปาล์มดิบแยกไขของบริษัทต่างๆ พบว่า บริษัท มรกตอินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) ผลิตตามจำนวนโควต้าที่ได้รับการจัดสรรจากองค์การคลังสินค้า กระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากโรงงานดังกล่าว ได้รับการจัดสรรน้ำมันพืชนำเข้าจากมาเลเซียมากที่สุด จำนวน 5,000 ตัน จากทั้งหมด 30,000ตัน เพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำมันชนิดบรรจุขวดได้ 3,800,000 ขวด ซึ่งจากการตรวจสอบเพิ่มเติม พบน้ำมันปาล์มดิบแยกไข ถูกเก็บอยู่ในถังจำนวน 1,400 ตัน สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำมันบรรจุขวดได้ 960,000 ขวด

ส่วนโรงงานที่ได้รับการจัดสรรโควตาน้ำมัน 10 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท พืชปทุม จำนวน 6,000 ตัน บริษัท มรกต จำนวน 5,000 ตัน บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรม จำนวน 4,650 ตัน บริษัทล่ำสูง จำนวน 3,900 ตัน บริษัทโอลีน จำนวน 3,600 ตัน บริษัท ปาล์มออย จำนวน 1,950 ตัน บริษัท ปาล์มธรรมชาติ จำนวน 1,200 ตัน บริษัทสมบูรณ์น้ำมันพืช จำนวน 1,200 ตัน บริษัท เหล่าธงสิงห์ จำนวน 1,200 ตัน บริษัท ทีเอส จำนวน 1,200 ตัน รวมประมาณ 28,000 ตัน แต่ราคาน้ำมันพืชกลับดีดตัวไปสูงถึง 80 บาท ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อของไทย จึงกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้

จนทำให้ “ความเชื่อมั่น” ต่ออภิสิทธิ์ ทรุดฮวบลงกว่าที่ควรจะเป็น

ขณะที่การจัดสรรผลประโยชน์ตามโครงการดูลงตัวไปอย่างรวดเร็ว ล่าสุด คณะกรรมการ ( บอร์ด ) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ( รฟม. ) ได้ลงนามสัญญาก่อสร้างงานโยธา, สัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ ( PMC ) และสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ( CSC ) โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กิโลเมตร รวม 7 สัญญา

สัญญาก่อสร้างงานโยธามีทั้งหมด 5 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-สนามไชย ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร ดำเนินการโดย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD วงเงินก่อสร้าง 11,441 ล้านบาท

สัญญาที่ 2 งานออกแบบ ควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงสนามไชย-ท่าพระ ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร ดำเนินการโดย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK วงเงินก่อสร้าง10,687 ล้านบาท

สัญญาที่ 3 งานก่อสร้างยกระดับ ช่วงเตาปูน-ท่าพระ ระยะทาง 11 กิโลเมตร และสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 1 แห่ง ดำเนินการโดยกิจการร่วมค้า เอสเอช-ยูเอ็น บริษัท ซิโนไฮโดร คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ วงเงินก่อสร้าง 11,284 ล้านบาท

สัญญาที่ 4 งานก่อสร้างยกระดับ ช่วงท่าพระ-หลักสอง ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร ศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ 2 แห่ง ดำเนินการโดย บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC วงเงินก่อสร้าง13,334 ล้านบาท

สัญญาที่ 5 งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างระบบรางทั้งโครงการ ดำเนินการโดย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK

ส่วนสัญญาจ้างที่ปรึกษา 2 สัญญา ได้แก่ สัญญาจ้างที่ปรึกษา PMC ดำเนินการโดยกลุ่มที่ปรึกษา INDEX วงเงิน 726 ล้านบาท และสัญญาจ้างที่ปรึกษา CSC ดำเนินการโดยกลุ่มที่ปรึกษา MAA วงเงิน 1,209 ล้านบาท

โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในปี 2559 (ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ สมัยสองพอดี) !!
กำลังโหลดความคิดเห็น