ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ต้องยอมรับว่าการรวมพลคนเสื้อแดงภายใต้การนำของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง และนางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำได้เข้าเป้าแทบจะทุกครั้ง เพราะการชุมนุมย่อยกันแต่ละครั้ง ภายใต้การนำของทั้งสองคน สามารถเรียกคนออกมาชุมนุมในหลักหลายหมื่นเกือบทุกครั้ง ซึ่งประเด็นสำคัญในการเรียกร้องช่วงเวลานี้คงหนีไม่พ้น การชุมนุมเรียกร้องให้มีการปลดปล่อยแกนนำคนเสื้อแดงให้ออกมาได้รับอิสรภาพ
และมาถึงขณะนี้ก็ต้องกล่าวว่าเรียบร้อยโรงเรียนเสื้อแดงจนได้ เมื่อศาลได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งให้ปล่อยตัว 7 แกนนำคนเสื้อแดง และ 1 แนวร่วม จำเลยในคดีก่อการร้าย ที่ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว ทั้ง 8 คนประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย ไพรพนา นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
ทั้งนี้ นับเป็นเวลากว่า 9 เดือน ที่บรรดาแกนนำเสื้อแดง ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยก่อนหน้านั้นความพยายามในการปลดปล่อยแกนนำแดงยังถูกนำมาเป็นประเด็นขับเคลื่อนทางการเมืองให้กลุ่มคนเสื้อแดงรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง โดยมีนายจตุพรและนางธิดาเป็นหัวหอก ในการเดินเกมสารพัดวิธีในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ได้ก่อวีรกรรมปลุกปั่นเผาเมืองกับประเทศตัวเองให้ได้รับอิสรภาพ ซึ่งที่ผ่านมา มีทั้งเรียกรวมพลเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมรายสัปดาห์เพื่อกดดันศาลทางอ้อมและทางตรง ทั้งงัดหลักฐานต่างๆ อาทิ การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมถึงเกาะกระแสการปรองดองสมานฉันท์ของรัฐบาล
นับรวมแล้วมีการยื่นประกันตัวเกิดขึ้นแล้วกว่า 25 ครั้ง โดยเป็นทีมทนาย นปช.ซึ่งมี “คารม พลทกลาง” เป็นหัวหอก 23 ครั้ง รวมกับสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยที่มี “นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์” ทนายความแกนนำนปช. 2 ครั้ง ก็ล้วนได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง
ดังนั้น ความพยายามที่สัมฤทธิ์ผลของคนเสื้อแดงครั้งนี้ จึงต้องให้น้ำหนักไปที่พยานสำคัญที่ขึ้นไต่สวนในชั้นศาล ประกอบด้วย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการกองบัญชาการตำรวจนครบาล 1
สำหรับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ไม่น่าแปลกใจหากรองนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรคชาติไทยพัฒนา จะขึ้นให้การไต่สวนเป็นคุณแก่แกนนำเสื้อแดง เพราะนั้นเป็นหนึ่งในแผนปรองดองที่เขาเคยประกาศโดยเดินสายพบแกนนำทุกฝ่าย ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำเสื้อแดง และ แกนนำพันธมิตรฯ ก็เพียงเพื่อจะสร้างอำนาจต่อรองให้แก่ตนเอง ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่แน่นอนอยู่ขณะนี้ และที่ต้องไม่ลืมก็คือ พล.ต.สนั่น ก่อนหน้านี้ถึงขนาดลงทุนไปพบกับ "แดงตัวพ่อ" อย่างทักษิณ ชินวัตร ที่วัดไทย ประเทศนอร์เวย์มาแล้ว
เหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจากด้วย เงื่อนไขสุดพิเศษ คือ นายกรัฐมนตรีสำรอง ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” หยิบยื่นให้ พล.ต.สนั่น หากเดินหมากการเมืองทางใดทางหนึ่งที่ทำให้กลับคืนสู่เกมแห่งอำนาจได้ ซึ่งในขณะนั้นนช.ทักษิณก็กระโดดรับลูกแผนปรองดองเสธ.หนั่นเสียอย่างดิบดี
ที่สำคัญคือหลังแกนนำแดงพ้นคุก พล.ต.สนั่นยังได้อัญเชิญแกนนำคนเสื้อแเดงไปเลี้ยงรับขวัญด้วยการเปิดบ้านพักสนามบินน้ำ เลี้ยงไวน์ชั้นดีราคาหลักแสน ต้อนรับการกลับสู่อิสรภาพของแกนนำก่อการร้ายที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประเทศชาติด้วยการสั่งเผาบ้านเผาเมือง ราวกับเป็นวีรบุรุษที่ก่อวีรกรรมอันดีให้แก่ชาติบ้านเมืองก็มิปาน
ส่วนพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการกองบัญชาการตำรวจนครบาล 1 หรือผู้การแต้ม ในฐานะที่เป็นผู้ประสานเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงมาอย่างตลอด ผู้การแต้ม ได้ให้การในชั้นศาล ว่า ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้เป็นตัวแทนประสานงานกับแกนนำ นปช. ในการดูแลการชุมนุม ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งด้านการหลีกเลี่ยงเส้นทางและการกีดขวางจราจร รวมทั้งการตรวจสอบไม่พบการสะสมอาวุธในพื้นที่การชุมนุม
แต่หากพิจารณาจากความเป็นจริงคำให้การต่อศาลของผู้การแต้ม เป็นการพูดเพียงบางมุมที่เป็นประโยชน์ต่อแกนนำเสื้อแเดงเท่านั้นเพราะในการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง ก็กลับมิได้เห็น ผู้การแต้มนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นพื้นที่ชุมนุมหรือหลังเวทีปราศรัย อย่างเอาจริงเอาจัง จะมีก็เพียงการเข้าเจรจายิ้มแย้มแจ่มใสกับหักโจกแกนนำแดงที่ขณะนั้นได้ถูกออกหมายเรียก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เกือบจะทุกคนแล้วก็ว่าได้ ขณะเดียวกันหลังจากการเข้าสลายชุมนุมของเจ้าหน้าที่กลับพบอาวุธสงครามจำนวนมากที่ซ่องสุมไว้บริเวณพื้นที่ชุมนุมซึ่งเป็นหลักฐานมัดตัว ให้แกนนำและแนวร่วมเสื้อแดง ถูกดำเนินคดีในข้อหาการก่อการร้าย
ขณะที่นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ที่ได้ไปเป็นพยานด้วยนั้น สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เขามีจุดยืนทางการเมืองเช่นไรก็คือ ภายหลังแกนนำออกจากคุก นายโสภณได้ปล่อยให้ตั้งรถปราศรัยข้างเรือนจำพิเศษกรุงเทพ อย่างสบายใจ ทั้งที่บริเวณเรือนจำเป็นสถานที่ที่มีกฎระเบียบมาก ซึ่งการจะได้รับการอนุญาตให้กระทำสิ่งใดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเหตุการณ์ช่วงเวลานั้น ประชาชนโดยทั่วไปยังได้รับความเดือดร้อนจากการสัญจรเส้นทางดังกล่าวด้วย
เช่นเดียวกับนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ก็ต้องเรียกว่าเป็นคนของรัฐบาลโดยตรง เพราะได้รับการแต่งตั้งจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีจุดยืนในการแสดงความเห็นรวมทั้งเสนอแนะรัฐบาลว่าหากคนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัวให้ออกมาสู้คดีนอกคุกน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความปรองดองในประเทศมาโดยตลอด และที่ผ่านมา ทางทีมทนายคนเสื้อแดง ก็ได้หยิบยกหลักฐานที่อ้างอิงแนวทางปรองดองของ คอป. ไปเป็นหลักฐานให้กับศาลทุกครั้งที่ผ่านมา
และในที่สุด ฉากสุดท้ายจึงจบลงจากความร่วมมือของบุคคลต่างๆ ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ในฟากของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่ว่า พล.ต.สนั่น รองนายกรัฐมนตรี ผู้รับบทสร้างการ ปรองดอง นายคณิตที่เคยทำหนังสือถึงนายกฯ ให้ปล่อยตัวแกนนำ นปช. รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ส่ง “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 มาเป็นพยานไต่สวนช่วยแกนนำ นปช.
ยิ่งในการไต่สวนเที่ยวนี้ ดีเอสไอไม่คัดค้านการประกันตัวด้วยแล้วยิ่งตอบโจทย์และข้อข้องใจต่างๆ ให้ชัดเจนขึ้น เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอคัดค้านมาโดยตลอด ดังนั้น จึงมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า รัฐบาลไฟเขียวกับการให้ประกันตัวในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ผลที่ออกมาจะสร้างความสงสัยให้กับผู้คนในสังคมเพราะการปล่อยแกนนำแดงน่าจะเป็นผลเสียต่อรัฐบาล เพราะนั่นจะเป็นการเปิดทางให้แกนนำเสื้อแดงออกมารวมตัวกดดันรัฐบาลให้เกิดภาวะสั่นคลอน แต่เมื่อดูจากความเป็นจริงที่ผ่านมา หากมองย้อนกลับไปถึงแม้ว่าคนเสื้อแดงจะถูกปลุกระดมออกมานับหลายหมื่นคน เพื่อเรียกร้องหรือกดดันรัฐบาล ก็หาได้จะมีพลังเพียงพอให้รัฐบาลเกิดความเพลี่ยงพล้ำได้ เนื่องจากว่า กระแสคนเสื้อแดงยังติดลบอยู่ ในภาพความรุนแรงที่เคยก่อกรรมเผาบ้านเผาเมืองไว้เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมเมื่อปีที่แล้ว
ดังนั้น เมื่อมองจากจุดนี้ การที่แกนนำคนเสื้อแดงออกมาก็ใช่ว่าจะโจมตีรัฐบาลได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซ้ำร้ายในทางตรงกันข้าม การปล่อยตัวแกนนำแดงออกมาก็ยังช่วยปลดล็อกเงื่อนไขอีกมากให้กับรัฐบาลเองอีกด้วย
และล็อกที่ว่านั้นก็คือล็อกที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์พยายามปล่อยข่าวมาตลอด ซึ่งจะเป็นอะไรเสียมิได้นอกเสียจากเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร ที่แม้เวลานี้รัฐบาลจะเป็นปึกแผ่นกับผู้นำกองทัพอย่างแนบแน่นผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ แต่ต้องไม่ลืมว่า ยังมีกลุ่มทหารตรงข้ามกับกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ ที่ต้องหลุดวงโคจรอำนาจไป
นั่นคือ ทหารจากสาย “วงศ์เทวัญ” ที่ผูกขาดการครองอำนาจในเก้าอี้ ผบ.ทบ.และตำแหน่งต่างๆ ในกองทัพบกมาตลอด ซึ่งผลของการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงเหตุการณ์บ้านเมืองอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นจากฝีมือของรัฐบาลนี้ ก็อาจส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้ทุกเมื่อ
ยิ่งการบริหารประเทศของรัฐบาล ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดนี้ ยังเป็นตัวการทำให้เกิดปัญหาภาวะข้าวยากหมากแพง และการทุจริตคอรัปชั่นในหลายกระทรวง ชนิดที่มีหลักฐานชัดแจ้งด้วยยิ่งทำให้เกิดเงื่อนไขดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เลื่อนลอย เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้ง 2 ประเด็นถือเป็นจุดตาย ของการออกมายึดอำนาจของทหารทุกครั้ง
สุดท้ายแล้ว เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่สอดรับกับการปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดงของรัฐบาลในช่วงเวลานี้อย่างลงตัว จึงหนีไม่พ้นต้องยืมมวลชนคนเสื้อแดงที่มีธงนำในการต่อต้านรัฐประหาร ซึ่งเป็นคุณแก่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยตรง ในการกันทหารบางกลุ่มไม่ให้ออกมาทำการปฏิวัติ ก็เพียงเพื่อประคองอำนาจของตัวเองต่อไปเท่านั้นเอง