ประเทศไทยใหญ่กว่าชาติเขมร แถมไทยยังมีกองทัพที่ใหญ่และทันสมัยกว่าเขมร ชนิดเทียบกันไม่ได้เลย
เท่านั้นไม่พอ..ชาติไทยยังมีนายกฯ มาร์ค ที่จบการศึกษาสูงจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ในขณะที่นายกฯ เขมรฮุนเซน จบจากโรงเรียนวัดนาควานในกรุงพนมเปญ
ที่สำคัญ..ไทยกับเขมรได้ตกลงในเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน นับแต่ปี ค.ศ.1904 และปี ค.ศ. 1907 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส โดยบางพื้นที่เห็นพ้องต้องกันกับการใช้สันปันน้ำ เป็นจุดแบ่งเขตแดนของไทย-กัมพูชา
สำหรับดินแดนไทย-กัมพูชาในส่วนที่ไม่มีสันปันน้ำนั้น คณะกรรมการฯ สยาม-ฝรั่งเศสก็ใช้หมุดปักแบ่งเขตแดนเรียบร้อยถึง 73 หลักแล้ว ทว่า..หากหลักหมุดแบ่งเขตแดนไหนหาย หรือถูกเคลื่อนย้ายโดยฝ่ายใดก็ตาม
การแก้ปัญหานั้นง่ายมาก..หากทั้งไทย-เขมรไม่คิดจะยึดแผ่นดินของกันและกัน ก็แค่ตั้ง คกก.ไทย-เขมรขึ้นมาตรวจสอบ-ปักปันใหม่ ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา..ก็จบ จบอย่างสุดสวยและเต็มไปด้วยมิตรภาพ..จริงไหม?
แต่เผอิญ..ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีผลประโยชน์มากมายมหาศาล ซึ่งทำให้คนชั่วไทย-เขมรที่คุมอำนาจรัฐไว้ในกำมือ เกิดความละโมบโลภมากจนอดกระทำชั่วไม่ได้ จึงมีการแอบตกลงกันอย่างลับๆ อันแสนแยบยล เพื่อสวาปามธุรกิจสารพัดชนิดอย่างตะกละตะกลามไงล่ะครับ
เขมรฮุนเซนที่เป็นเผด็จการใช้อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จ ชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองในเขมรได้แบบ 100% อีกทั้งเขมรฮุนเซนยังเป็นผู้ชี้ขาดว่า จะยกผลประโยชน์โครงการรัฐและเอกชนให้นักการเมืองคนใด-กลุ่มใดหรือนักธุรกิจค่ายไหนได้ทั้งนั้น
มือขวา..ของเขมรฮุนเซน ที่นักลงทุนต่างชาติจะต้องตกลงเจรจาต้าอ่วยว่า ต้องจ่ายเงินบนโต๊ะและใต้โต๊ะเท่าไหร่? นายซกอาน..เป็นรองนายกฯ และรมว.สำนักนายกฯ ดูแลในด้านเศรษฐกิจ..โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันใต้ท้องทะเลไทย-กัมพูชา ที่ประเมินมูลค่าเป็นเงินโดยคร่าวๆ มากกว่า 5.5 ล้านล้านบาทนั้น
นายซกอานเป็นประธานทางฝ่ายเขมร ส่วนเทพเทือกเป็นประธานฝ่ายไทย ทั้งคู่แอบเจรจาต้าอ่วยกันแบบลับๆ ล่อๆ มาโดยตลอด ถึงขนาดนัดเจอกันในต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง
งานสวาปามน้ำมันใต้ท้องทะเล..เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะต้องมีการยกแผ่นดินไทยบางส่วนให้ชาติเขมร เพื่อเป็นก้าวแรกให้ชาติเขมรเข้าฮุบดินแดนไทยในท้องทะเล ที่มีน้ำมันมูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาทไงล่ะ
เหตุเพราะกลุ่มนักการเมืองชั่วและนักธุรกิจของไทย รวมทั้งบริษัทมหาอำนาจที่หากินกับน้ำมันมองว่า การตกลงผลประโยชน์ใต้โต๊ะ และบนโต๊ะกับเขมรฮุนเซนนั้น หากเงินถึง..การเจรจาผลประโยชน์ทั้งปวงก็จบง่าย..จริงไหม..เขมรฮวยเซง?
ดังนั้น เบื้องต้นของการเล่นแร่แปรธาตุ ให้เขตแดนที่เป็นของไทยแต่เพียงประเทศเดียว กลายเป็นดินแดนทับซ้อนหรือกลายเป็นของกัมพูชา แบบถูกกฎหมายหรือเป็นที่ยอมรับทั้งไทย-เขมรเสียก่อน
ยุครัฐบาล “ชวน 1” ในปี 2535-2538 “คนหน้าเหลี่ยม” ได้มีโอกาสเข้าเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ จึงมีการวางหมากกลแต่งตั้งข้าราชการที่พร้อมรับใช้ “คนหน้าเหลี่ยม” แบบสุดจิตสุดใจ ทั้งตำแหน่งและเงินทองสำหรับงานลับสุดยอดนี้ ซึ่งต้องทำกันอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
จนมาถึงยุครัฐบาล “ชวน 2” ในปี 2540-2543 งานลับก็ลงตัว “ขรัวตาชวน” ได้หลงกลเกมยกดินแดนให้เขมร จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามเสียแล้ว เพราะม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ ได้เซ็น MOU 2543 ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ทำให้ชาติไทยเสียเปรียบต่อชาติเขมรในทันที
เพราะเขตแดนไทยที่ยึดถือสันปันน้ำมาเกือบ 103 ปี ได้ถูกชาติเขมรโยนทิ้งลงถังขยะ เพราะเขมรฮุนเซนได้เปลี่ยนมายึดเขตแดน ตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแทน จากนั้นชาติเขมรก็โฆษณาหลอกลวงต่อนานาชาติว่า ดินแดนทุกกระเบียดนิ้วในเขตแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนนั้น เป็นแผ่นดินของชาติเขมรแต่เพียงผู้เดียว
ที่สำคัญ..เขมรฮุนเซนโฆษณาจนนานาชาติเชื่อว่า แผ่นดินในแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชานั้น ถูกทหารไทยรุกรานยึดครองมาโดยตลอด
จนฮุนเซนและกองทัพเขมรที่ด้อยศักยภาพกว่า..ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจบุกเข้ายึดยอดภูบางลูก สร้างหมู่บ้าน-ตลาด-วัด-ถนน-ขนอาวุธหนักเบา-รถถัง ฯลฯ ขึ้นสู่จุดได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ทางการทหารในดินแดนไทยไว้ในกำมือ
รัฐบาลไทยนับแต่ “ขรัวตาชวน 1-2” ตามด้วย “คนหน้าเหลี่ยม” และรัฐบาลรัฐประหารของ “พลเอก-แอ้ด” รัฐบาลนอมินี “จมูกชมพู่” และ “ชาย-กระโปรงแดง” จนกระทั่งรัฐบาลหุ่นเชิด “หล่อ-หลักลอย” ล้วนไม่แยแสสนใจกับการที่ชาติไทยต้องเสียดินแดนให้กับชาติเขมร
รัฐบาลไทยที่บริหารชาติทั้งหมดเหล่านั้น ได้ทำตัวเสมือนสมคบกับเขมรฮุนเซน ด้วยการจงใจทำตัวเสียเปรียบรัฐบาลเขมรทุกประตู เสมือนสมคบกันยกดินแดนไทยให้กับเขมรฮุนเซนไงล่ะครับ
โดยเฉพาะ “หล่อ-หลักลอย” นั้น ขอเพียงแค่ได้เป็นนายกฯ นานๆ และเป็นซ้ำอีกครา บ้านเมืองจะ “ฉิบหาย” หรือจะเสียแผ่นดินไทยให้ชาติเขมร “หล่อ-หลักลอย” ขอบอกฟ้า-ดินว่า..ช่างมัน..ฉัน-ไม่แคร์..ย่ะ..ฮิฮิฮิ..!!!
เท่านั้นไม่พอ..ชาติไทยยังมีนายกฯ มาร์ค ที่จบการศึกษาสูงจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ในขณะที่นายกฯ เขมรฮุนเซน จบจากโรงเรียนวัดนาควานในกรุงพนมเปญ
ที่สำคัญ..ไทยกับเขมรได้ตกลงในเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจน นับแต่ปี ค.ศ.1904 และปี ค.ศ. 1907 ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส โดยบางพื้นที่เห็นพ้องต้องกันกับการใช้สันปันน้ำ เป็นจุดแบ่งเขตแดนของไทย-กัมพูชา
สำหรับดินแดนไทย-กัมพูชาในส่วนที่ไม่มีสันปันน้ำนั้น คณะกรรมการฯ สยาม-ฝรั่งเศสก็ใช้หมุดปักแบ่งเขตแดนเรียบร้อยถึง 73 หลักแล้ว ทว่า..หากหลักหมุดแบ่งเขตแดนไหนหาย หรือถูกเคลื่อนย้ายโดยฝ่ายใดก็ตาม
การแก้ปัญหานั้นง่ายมาก..หากทั้งไทย-เขมรไม่คิดจะยึดแผ่นดินของกันและกัน ก็แค่ตั้ง คกก.ไทย-เขมรขึ้นมาตรวจสอบ-ปักปันใหม่ ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา..ก็จบ จบอย่างสุดสวยและเต็มไปด้วยมิตรภาพ..จริงไหม?
แต่เผอิญ..ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีผลประโยชน์มากมายมหาศาล ซึ่งทำให้คนชั่วไทย-เขมรที่คุมอำนาจรัฐไว้ในกำมือ เกิดความละโมบโลภมากจนอดกระทำชั่วไม่ได้ จึงมีการแอบตกลงกันอย่างลับๆ อันแสนแยบยล เพื่อสวาปามธุรกิจสารพัดชนิดอย่างตะกละตะกลามไงล่ะครับ
เขมรฮุนเซนที่เป็นเผด็จการใช้อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จ ชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองในเขมรได้แบบ 100% อีกทั้งเขมรฮุนเซนยังเป็นผู้ชี้ขาดว่า จะยกผลประโยชน์โครงการรัฐและเอกชนให้นักการเมืองคนใด-กลุ่มใดหรือนักธุรกิจค่ายไหนได้ทั้งนั้น
มือขวา..ของเขมรฮุนเซน ที่นักลงทุนต่างชาติจะต้องตกลงเจรจาต้าอ่วยว่า ต้องจ่ายเงินบนโต๊ะและใต้โต๊ะเท่าไหร่? นายซกอาน..เป็นรองนายกฯ และรมว.สำนักนายกฯ ดูแลในด้านเศรษฐกิจ..โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันใต้ท้องทะเลไทย-กัมพูชา ที่ประเมินมูลค่าเป็นเงินโดยคร่าวๆ มากกว่า 5.5 ล้านล้านบาทนั้น
นายซกอานเป็นประธานทางฝ่ายเขมร ส่วนเทพเทือกเป็นประธานฝ่ายไทย ทั้งคู่แอบเจรจาต้าอ่วยกันแบบลับๆ ล่อๆ มาโดยตลอด ถึงขนาดนัดเจอกันในต่างประเทศมาแล้วหลายครั้ง
งานสวาปามน้ำมันใต้ท้องทะเล..เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะต้องมีการยกแผ่นดินไทยบางส่วนให้ชาติเขมร เพื่อเป็นก้าวแรกให้ชาติเขมรเข้าฮุบดินแดนไทยในท้องทะเล ที่มีน้ำมันมูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาทไงล่ะ
เหตุเพราะกลุ่มนักการเมืองชั่วและนักธุรกิจของไทย รวมทั้งบริษัทมหาอำนาจที่หากินกับน้ำมันมองว่า การตกลงผลประโยชน์ใต้โต๊ะ และบนโต๊ะกับเขมรฮุนเซนนั้น หากเงินถึง..การเจรจาผลประโยชน์ทั้งปวงก็จบง่าย..จริงไหม..เขมรฮวยเซง?
ดังนั้น เบื้องต้นของการเล่นแร่แปรธาตุ ให้เขตแดนที่เป็นของไทยแต่เพียงประเทศเดียว กลายเป็นดินแดนทับซ้อนหรือกลายเป็นของกัมพูชา แบบถูกกฎหมายหรือเป็นที่ยอมรับทั้งไทย-เขมรเสียก่อน
ยุครัฐบาล “ชวน 1” ในปี 2535-2538 “คนหน้าเหลี่ยม” ได้มีโอกาสเข้าเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ จึงมีการวางหมากกลแต่งตั้งข้าราชการที่พร้อมรับใช้ “คนหน้าเหลี่ยม” แบบสุดจิตสุดใจ ทั้งตำแหน่งและเงินทองสำหรับงานลับสุดยอดนี้ ซึ่งต้องทำกันอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
จนมาถึงยุครัฐบาล “ชวน 2” ในปี 2540-2543 งานลับก็ลงตัว “ขรัวตาชวน” ได้หลงกลเกมยกดินแดนให้เขมร จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามเสียแล้ว เพราะม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศ ได้เซ็น MOU 2543 ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ทำให้ชาติไทยเสียเปรียบต่อชาติเขมรในทันที
เพราะเขตแดนไทยที่ยึดถือสันปันน้ำมาเกือบ 103 ปี ได้ถูกชาติเขมรโยนทิ้งลงถังขยะ เพราะเขมรฮุนเซนได้เปลี่ยนมายึดเขตแดน ตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแทน จากนั้นชาติเขมรก็โฆษณาหลอกลวงต่อนานาชาติว่า ดินแดนทุกกระเบียดนิ้วในเขตแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนนั้น เป็นแผ่นดินของชาติเขมรแต่เพียงผู้เดียว
ที่สำคัญ..เขมรฮุนเซนโฆษณาจนนานาชาติเชื่อว่า แผ่นดินในแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชานั้น ถูกทหารไทยรุกรานยึดครองมาโดยตลอด
จนฮุนเซนและกองทัพเขมรที่ด้อยศักยภาพกว่า..ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจบุกเข้ายึดยอดภูบางลูก สร้างหมู่บ้าน-ตลาด-วัด-ถนน-ขนอาวุธหนักเบา-รถถัง ฯลฯ ขึ้นสู่จุดได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ทางการทหารในดินแดนไทยไว้ในกำมือ
รัฐบาลไทยนับแต่ “ขรัวตาชวน 1-2” ตามด้วย “คนหน้าเหลี่ยม” และรัฐบาลรัฐประหารของ “พลเอก-แอ้ด” รัฐบาลนอมินี “จมูกชมพู่” และ “ชาย-กระโปรงแดง” จนกระทั่งรัฐบาลหุ่นเชิด “หล่อ-หลักลอย” ล้วนไม่แยแสสนใจกับการที่ชาติไทยต้องเสียดินแดนให้กับชาติเขมร
รัฐบาลไทยที่บริหารชาติทั้งหมดเหล่านั้น ได้ทำตัวเสมือนสมคบกับเขมรฮุนเซน ด้วยการจงใจทำตัวเสียเปรียบรัฐบาลเขมรทุกประตู เสมือนสมคบกันยกดินแดนไทยให้กับเขมรฮุนเซนไงล่ะครับ
โดยเฉพาะ “หล่อ-หลักลอย” นั้น ขอเพียงแค่ได้เป็นนายกฯ นานๆ และเป็นซ้ำอีกครา บ้านเมืองจะ “ฉิบหาย” หรือจะเสียแผ่นดินไทยให้ชาติเขมร “หล่อ-หลักลอย” ขอบอกฟ้า-ดินว่า..ช่างมัน..ฉัน-ไม่แคร์..ย่ะ..ฮิฮิฮิ..!!!