xs
xsm
sm
md
lg

เจาะปัญหาไทย-กัมพูชาแบบครบวงจร(ตอนสอง)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สอดแนมการเมือง”
โดย…ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย

มนุษย์-เป็นประดิษฐ์กรรมมีชีวิตบนโลกเพียงสิ่งเดียว ที่ลึกลับซับซ้อนจนไม่อาจมีข้อสรุปแบบตายตัวได้เลย!

19 กันยายน 2549 พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประสบชัยชนะในการตัดตอนอำนาจที่ใหญ่คับฟ้า ของรัฐบาล“หน้าเหลี่ยม”ลงชั่วคราว แต่เป็นรัฐประหารที่“ต่อมลูกหมาก”มีปัญหา..หรือดัน“เยี่ยวไม่สุด”

หลังรัฐประหาร..มีการตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้มีประวัติชีวิตดุจนวนิยายให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

พล.อ.สุรยุทธ์หรือ“บิ๊กแอ๊ด”นายกฯคนที่ 24 ซึ่งมีพ่อเป็นอดีตนายทหารยศพันโทของกองทัพบกไทย แต่พ.ท.พโยม จุลานนท์ กลับพลิกผันชีวิตครั้งใหญ่จากทหารของกองทัพไทย ละจากลูก“แอ๊ด-สุรยุทธ์”ในวัย 6 ขวบ ที่กำลังเรียนชั้นป.2 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล เข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

พ.ท.พโยมในชื่อจัดตั้ง“สหายคำตัน” ได้นำกองกำลังของคอมมิวนิสต์ต่อสู้อยู่ตามป่าเขาอย่างยาวนาน จนได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาธิการ ของกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยต่อสู้กับกองทัพไทยที่มีลูกชาย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นทหารของชาติหลังจบจากโรงเรียนนายร้อย จปร.!

ทว่า..นักรบผู้ผ่านสนามรบอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ นายกฯของประเทศไทยคนนี้กลับบริหารชาติ อ่อนแอหน่อมแน้มไร้โดยประสิทธิ์ภาพอย่างเหลือเชื่อ เพราะรัฐบาลสุรยุทธ์ไม่ได้จัดการกับต้นเหตุร้ายๆของชาติอย่างจริงจังเลย

อิทธิพลของ“คนหน้าเหลี่ยม”และพรรคพวก ยังคงครอบงำอยู่ในทุกมิติของสังคมไทยทั้งลับและเปิดเผย โดยเฉพาะการเอาผิดกับการคอร์รัปชั่นรัฐบาล“คนหน้าเหลี่ยม” ที่แม้จะมีการตั้ง“คตส.”ขึ้นมาสืบสวนสอบสวนนักการเมืองชั่ว แต่รัฐบาลสุรยุทธ์ก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ กลับปล่อยให้คตส.ทำงานกันไปตามยถากรรม

ทำให้“คนหน้าเหลี่ยม”กับพวกคอร์รัปชั่นโกงชาติบ้านเมือง ถูกกฏหมายลงโทษน้อยมาก..เพราะคนโกงส่วนใหญ่ยังคงลอยนวล อยู่ในสังคมไทยอย่างปลอดภัยจนทุกวันนี้!

ที่สำคัญ..ยุครัฐบาลทหารพล.อ.สุรยุทธ์ ของคณะรัฐประหาร พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ซึ่งมีภาระหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติโดยตรง ทว่า..กลับไม่ใส่ใจและปล่อยปละละเลยให้ทหารเขมร ยังคงยึดครองผืนดินไทย 4.6 ตร.กม. ราวกับการเสียดินแดนไทยให้ต่างชาติตำตาเป็นสิ่งไม่เสียหายต่อชาติบ้านเมือง?

ทั้งๆ ที่ในปี 2549 รัฐบาลฮุนเซนได้ออกพระราชกฤษฎีกา กำหนดพื้นที่อนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ซึ่งรวมพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ของไทย ที่กัมพูชาระบุว่า..เป็นดินแดนของประเทศตน ตามแผนที่ฯ 1ต่อ2 แสน ซึ่งรัฐบาลเขมรได้แนบประกอบอยู่ในเอกสาร ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกต่อยูเนสโก

จนกระทั่งวันที่ 28 มิถุนายน 2550 รัฐบาลเขมรฮุนเซนจึงตัดสินใจ นำตัวปราสาทพระวิหารและผืนดิน 4.6 ตร.กม. ยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ต่อ คกก.มรดกโลก สมัยที่ 31 ณ เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์


อย่างไรก็ตาม..ในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ มีการเปิดให้คนไทยทั้งชาติได้ลงประชามติรับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ผลปรากฏว่า มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ถึง 14,727,306 เสียง หรือ 56.69% ไม่รับ 10,747,441 เสียง หรือ 41% บัตรเสีย 504,120 เสียง หรือ 0.94%

นับเป็นครั้งแรกที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ระบอบการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เกิดการลงประชามติรับรัฐธรรมนูญขึ้นในประเทศไทย!

ทว่า..ทางด้านการเมืองนั้น ต้องถือว่า..รัฐบาล“สุรยุทธ์”ล้มเหลวอย่างแรง เพราะได้ปล่อยให้“คนหน้าเหลี่ยม”ใช้เงินชั่ว จัดจ้าง-จัดตั้งขบวนการอันธพาลการเมือง“คนเสื้อแดง” ใช้ระบบอนาธิปไตยเดินขบวนป่วนสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังละเลยกับการจัดการลงโทษขบวนการที่มุ่งทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นระบบอีกด้วย

รัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ ยังช่วยให้“คนหน้าเหลี่ยม”กลับมายึดอำนาจรัฐอีกครั้ง ด้วยการเร่งให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ขึ้นในประเทศไทย โดยไม่มีมาตราการขจัดการใช้เงินซื้อเสียง ของบรรดานักการเมืองขี้ฉ้อแต่ประการใดเลย

นั่นกลายเป็นช่องโหว่อันเลวร้าย ที่ทำให้“คนหน้าเหลี่ยม”ใช้เงินจากการโกงกินชาติบ้านเมือง มาแจกจ่ายให้ผู้สมัครสส.ของพรรคตน ใช้ซื้อเสียงประชาชนในชนบทจนเอาชนะนักการเมืองคู่แข่งได้ไงล่ะครับ

23 ธันวาคม 2550 สนามเลือกตั้งที่รัฐบาล“ขิงแก่” พล.อ.สุรยุทธ์เร่งให้เกิดขึ้นได้ส่งผลร้ายต่อชาติบ้านเมืองอย่างชัดเจน เมื่อพรรคการเมืองของ“คนหน้าเหลี่ยม” ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1

โดยพรรคพลังประชาชนได้สส.ทั้งหมด233 คน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.ทั้งหมด 165 คน พรรคชาติไทยได้สส.ทั้งหมด 37 คน พรรคเพื่อแผ่นดินได้สส.ทั้งหมด 24 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาได้สส.ทั้งหมดสส. 9 คน พรรคมัชฌิมาธิปไตยได้สส.ทั้งหมด 7 คน สุดท้ายพรรคประชาราษฏร์ได้สส.ทั้งหมด 5 คน

สภาผู้แทนราษฏร์ที่มีสส.แบ่งเขตทั้งหมด 400 คน สส.สัดส่วน 80 คน รวม ส.ส.ในสภาฯ 480 คนนั้น สุดท้าย..เสียงส่วนใหญ่ได้ลงมติ ให้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชา
ชน ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2551 และไปสิ้นสุดเอาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551

การเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของนายสมัคร เพียงแค่ 223 วัน แต่นายสมัครก็ยินยอมให้“คนหน้าเหลี่ยม”ชี้นิ้ว สั่งซ้ายหัน-ขวาหัน-กลับหลังหัน-หมูหัน-หมาหัน ตามใจชอบหลายเรื่อง

นอกจากรัฐบาลนอมีนี สมัคร สุนทรเวช จะรับใช้“คนหน้าเหลี่ยม”โดยมี“คนปากห้อย”คอยวางแผนบงการให้เกิดการคอร์รัปชั่นโกงกินกันอย่างโจ่งแจ้งแล้ว

รัฐบาลสมัครนอมีนีของ“คนหน้าเหลี่ยม” ยังได้สานต่อแผนการยกดินแดนไทยให้เขมรอย่างแข็งขันอีกด้วย เพราะสถานการณ์ในประเทศเขมร อยู่ในห้วงฮุนเซนกำลังหาเสียงกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง

การรณรงค์หาเสียงเพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง ของฮุนเซนในครั้งนั้น..เขาใช้แนวทางชาตินิยมเรียกคะแนนเสียงจากประชาชาวกัมพูชา ด้วยการประกาศต่อสู้เอาดินแดนเขาพระวิหารคืนจากประเทศไทย นั่นคือ ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารไงล่ะครับ

แต่การจะขึ้นทะเบียนมรดกโลกบนผืนดินทับซ้อนของ 2 ประเทศ ที่มีความขัดแย้งในด้านเขตแดนอยู่นั้น องค์กรยูเนสโกต้องการหลักฐานเอกสารยืนยัน จากประเทศคู่ขัดแย้งอย่างประเทศไทยว่า ยินยอมพร้อมใจอย่างเป็นทางการ ที่จะให้ประเทศกัมพูชานำตัวปราสาทพระวิหาร และผืนดินโดยรอบ 4.6 ตร.กม. มาขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียว..จริงหรือไม่..ใช่หรือไม่?

ดังนั้น..การสมคบวางแผนระหว่างรัฐบาลไทยใจเขมร กับรัฐบาลเขมรฮุนเซนจึงเกิดขึ้นทั้งลับและเปิดเผย โดยนายสมัครเป็นนายกฯเพียงแค่ 34 วัน 3 มีนาคม 2551 สมัครก็เดินทางไปพบกับนายฮุนเซนถึงประเทศกัมพูชา

14 พฤษภาคม 2551 หรืออีก 72 วันต่อมา..“ติ๊งเหล่-นพดล ปัทมะ”รมว.ต่างประเทศของไทย ก็เดินทางไปเจรจากับนายซกอาน รองนายกฯและรมว.สำนักนายกฯกัมพูชา มือขวาหาผลประโยชน์ของเขมรฮุนเซนถึงกรุงพนมเปญ..

รัฐบาลนอมีนีสมัครของ“คนหน้าเหลี่ยม” นอกจากจงใจ-ตั้งใจ-ปล่อยให้ทหารเขมรยึดครองดินแดนไทย ทั้งตั้งค่ายทหารบนภูมะเขือ-หมู่บ้าน-ตลาด-วัดเขมร บนพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ของประเทศไทยแล้ว..

ขบวนการของ“คนหน้าเหลี่ยม”กำลังปฏิบัติการทุกอย่าง เพื่อเอาอกเอาใจ“คุณพ่อเขมรฮุนเซน”ชนิดไม่อายฟ้า-ดินอย่างต่อเนื่อง!

กำลังโหลดความคิดเห็น