ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้สดถามนายกฯ เรื่อง ค่าโง่คลองด่าน 7,000 ล้าน ของนายประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ว่า โครงการนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่งบประมาณสูงถึง 2,3700 ล้านบาท ยึดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งที่ผ่านมาศาลวินิจฉัยว่าโครงการนี้มีปัญหา และต้องระงับโครงการไปในที่สุด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมติดครม.ในวันที่ 3 พ.ย. 2552 ถึงอนุมัติเงิน 15 ล้านบาทให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเชิงวิศวกรรม เพื่อตรวจสอบโครงการ อันจะมีผลทำให้รัฐบาลเสียหายต่อคดีที่ยังอยู่ระหว่างการฟ้องร้อง ในหลายคดี
นอกจากนี้อยากถามว่าทำไมกระทรวงทรัพยากรฯจึงนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุญาโตตุลาการ และเป็นที่มาทำให้รัฐต้องเสียค่าโง่ 7,000 ล้านบาท ตามคำสั่งของอนุญาโตตุลาการ และทั้งที่ผลของคำตัดสินออกมาวันที่ 12 ม.ค. 54 ทำไมถึงมาปรากฎเป็นข่าวในวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา และที่ผ่านมาสมัยนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
นายประเสริฐ ถามต่อว่า หลังจากแพ้คดีค่าโง่ 7,000 ล้านบาทแล้ว ตั้งใจจะสู้อย่างไรต่อไป และจะดำเนินการเรียกค่าจ้างจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท ที่จ่ายไปก่อนหน้านี้แล้วได้หรือไม่ การที่รัฐบาลยอมเสียค่าโง่ จะมีแนวทางทวงคืน และดำเนินการเอาผิดกับกระบวนการทุจริตอย่างไร รัฐบาลจะยอมเสียค่าโง่ให้กับบริษัทในเครือของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเป็นการรักษาสถานะอำนาจหรือไม่
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รับมอบหมายจากนายกฯ ชี้แจงแทนว่า กรณีที่มติครม.อนุมัติเงิน 15 ล้านบาทนั้น ก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ที่จะดำเนินการตรวจสอบไม่ให้มีผลกระทบต่อคดี การต่อสู้ในชั้นศาลจะมีการหยิบยกคำพิพากษาศาลมาประกอบการพิจารณา
ส่วนการส่งเรื่องให้อนุญาโตตุลาการนั้น นายสุวิทย์ ยืนยันว่าไม่ได้ส่งเรื่องให้อนุญาโตตุลาการ แต่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ( ป.ป.ป.) ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการตรวจสอบการทุจรติโครงการคลองด่าน และตนได้ติดตามเรื่องนี้ตลอด ซึ่งการนำเรื่องเข้าสู่ กระบวนการของอนุญาโตตุลาการ เป็นไปตามที่ทางผู้รับจ้างยื่นเรื่อง โดยกรมความคุมมลพิษ ได้ยื่นเรื่องคัดค้านตั้งแต่ต้นแล้ว
ทั้งนี้ นายสุวิทย์ เชื่อว่าการต่อสู้ในชั้นศาลจะมีการหยิบยกคำพิพากษาศาลมาประกอบการพิจารณา และคิดว่าศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ เราพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของชาติ หรือการเอาผิดคนที่เกี่ยวข้อง ทางกรมควบคุมมลพิษ จะตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือบริษัทผู้รับเหมา และจะส่งเรื่องให้ป.ป.ช. ตรวจสอบอีกครั้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ผลพิพากษาชี้ชัดว่า สัญญาเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น จึงไม่น่ามีผลให้รัฐต้องเสียค่าโง่ เรื่องนี้เราเร่งดำเนินการไม่นิ่งนอนใจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกเงินคืนมาให้ได้ จะไม่มีการทำแบบลูบหน้าปะจมูก แน่นอน
นอกจากนี้อยากถามว่าทำไมกระทรวงทรัพยากรฯจึงนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุญาโตตุลาการ และเป็นที่มาทำให้รัฐต้องเสียค่าโง่ 7,000 ล้านบาท ตามคำสั่งของอนุญาโตตุลาการ และทั้งที่ผลของคำตัดสินออกมาวันที่ 12 ม.ค. 54 ทำไมถึงมาปรากฎเป็นข่าวในวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา และที่ผ่านมาสมัยนายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
นายประเสริฐ ถามต่อว่า หลังจากแพ้คดีค่าโง่ 7,000 ล้านบาทแล้ว ตั้งใจจะสู้อย่างไรต่อไป และจะดำเนินการเรียกค่าจ้างจำนวน 1.8 หมื่นล้านบาท ที่จ่ายไปก่อนหน้านี้แล้วได้หรือไม่ การที่รัฐบาลยอมเสียค่าโง่ จะมีแนวทางทวงคืน และดำเนินการเอาผิดกับกระบวนการทุจริตอย่างไร รัฐบาลจะยอมเสียค่าโง่ให้กับบริษัทในเครือของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเป็นการรักษาสถานะอำนาจหรือไม่
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รับมอบหมายจากนายกฯ ชี้แจงแทนว่า กรณีที่มติครม.อนุมัติเงิน 15 ล้านบาทนั้น ก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ที่จะดำเนินการตรวจสอบไม่ให้มีผลกระทบต่อคดี การต่อสู้ในชั้นศาลจะมีการหยิบยกคำพิพากษาศาลมาประกอบการพิจารณา
ส่วนการส่งเรื่องให้อนุญาโตตุลาการนั้น นายสุวิทย์ ยืนยันว่าไม่ได้ส่งเรื่องให้อนุญาโตตุลาการ แต่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ( ป.ป.ป.) ในสมัยนั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการตรวจสอบการทุจรติโครงการคลองด่าน และตนได้ติดตามเรื่องนี้ตลอด ซึ่งการนำเรื่องเข้าสู่ กระบวนการของอนุญาโตตุลาการ เป็นไปตามที่ทางผู้รับจ้างยื่นเรื่อง โดยกรมความคุมมลพิษ ได้ยื่นเรื่องคัดค้านตั้งแต่ต้นแล้ว
ทั้งนี้ นายสุวิทย์ เชื่อว่าการต่อสู้ในชั้นศาลจะมีการหยิบยกคำพิพากษาศาลมาประกอบการพิจารณา และคิดว่าศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ เราพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของชาติ หรือการเอาผิดคนที่เกี่ยวข้อง ทางกรมควบคุมมลพิษ จะตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ หรือบริษัทผู้รับเหมา และจะส่งเรื่องให้ป.ป.ช. ตรวจสอบอีกครั้ง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ผลพิพากษาชี้ชัดว่า สัญญาเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น จึงไม่น่ามีผลให้รัฐต้องเสียค่าโง่ เรื่องนี้เราเร่งดำเนินการไม่นิ่งนอนใจ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อเรียกเงินคืนมาให้ได้ จะไม่มีการทำแบบลูบหน้าปะจมูก แน่นอน