เอสทีจีต่อยอดธุรกิจคอนเท้นท์โพรไวเดอร์ครั้งใหญ่ ทุ่ม 500 ล้านบาท ลุยทีวีดามเทียมเป็นเจ้าของช่องเอง รวม 12 ช่องในปีนี้ พร้อมวางโมเดลสร้างบริษัทลูกใน 7 ธุรกิจในเครือ ล่าสุดจับมือDTV ทุ่ม 250 ล้านบาท ผุดช่อง “ดีไลฟ์” มั่นใจส่งรายได้รวมสิ้นปีเติบโตขึ้นอย่างน้อยอีก 10%
นายจักรพงษ์ สุธีสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีจี มัลติมีเดีย จำกัด ดำเนินธุรกิจเป็นคอนเท้นท์โพรไวเดอร์ ด้วยการถือลิขสิทธิ์รายการชั้นนำจากต่างประเทศ เช่น National Geographic, Discovery Channel, Animal Planet เปิดเผยว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทดำเนินธุรกิจครอบคลุมอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงใน 7 ช่องทาง คือ 1.ฟรีทีวี 2.เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม 3. โฮมวิดีโอ 4. เมอร์ชั่นไดซ์ 5. สิ่งพิมพ์ 6.ภาพยนตร์ และ7.ดิจิตอลดาวน์โหลด
ปัจจุบันมองเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ โดยได้วางโมเดลธุรกิจใหม่ไว้ว่า จะต้องมีการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งใน 7 ช่องทาง โดยมีบริษัทลูกเข้าบริหาร เช่นในส่วนของโฮมวิดีโอ ได้เข้าไปถือหุ้นกับทางแมงป่องเป็นอันดับสอง พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 350 ล้านบาท เพื่อให้แต่ละกลุ่มสามารถบริหารเป็นอิสระ
ปีนี้ทางบริษัทยังได้ทุ่มงบกว่า 500 ล้านบาท มากสุดตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการมา จากเดิมที่เป็นเพียงเจ้าของคอนเท้นท์ สู่การมีช่องรายการเป็นของตัวเอง ตั้งเป้าทั้งสิ้น 12 ช่อง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้วราว 8 ช่อง เช่น ทางไลฟ์ทีวีมี 3 ช่อง เช่น เอิร์ธ, ทริปเอเชีย และกับจานPSI 1 ช่อง คือ PSI TV
ล่าสุดร่วมกับจานDTV ลงทุนร่วมกันกว่า 250 ล้านบาท เปิดตัวช่องดีไลฟ์ จะเริ่มออกอากาศ เดือนมี.ค.นี้ หากได้รับการตอบรับที่ดี อนาคตจะจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมารองรับการบริหารงานต่อไป รวมทั้งอาจจะมีการเพิ่มจำนวนช่องขึ้นมาด้วย โดยในปีแรกนี้คาดว่าช่องดีไลฟ์ จะมีรายได้ 90 ล้านบาท ตามมาด้วย 130 ล้านบาท และ 150 ล้านบาท ในปีถัดๆมา หรือสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 2 ปี
นอกจากนี้ยังจะมีการร่วมทุนกับทางแกรมมี่ ในสัดส่วน 50%เท่าๆกัน โดยจะเปิดตัวช่องรายการใหม่ในวันที่ 22 มี.ค.จำนวน 3 ช่อง คือ ช่องฮอลลีวูดซีรี่ส์,ช่องภาพยนตร์ฮอลลีวูด และช่องภาพยนตร์เอเชีย เน้นเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ละช่องใช้งบลงทุนราว 70-80 ล้านบาท ซึ่งการร่วมทุนกับทางแกรมมี่นั้น จะมีมากกว่า 3 ช่อง ตั้งเป้าใน 3-5 ปี จะมีไม่ต่ำกว่า 5 ช่อง
“บริษัทจะรุกเปิดช่องรายการค่อนข้างมาก โอกาสและจังหวะพร้อมที่จะเข้าไปลงทุน โดยมองว่าอุตสาหกรรมเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆต่อไป ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% จากปีก่อนมีการเติบโตกว่า 8-12% โดยรายได้หลักมาจากกลุ่มโฮมวิดีโอ กว่า 50% หรือราว 1,000 ล้านบาท รองลงมา คือ อื่นๆรวมกัน ขณะที่การเข้ามารุกเคเบิลทีวีครั้งนี้ มองว่าในปีแรก สัดส่วนรายได้จากเคเบิลทีวีจะอยู่ที่ 20% และภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนเป็น โฮมวิดีโอ 30% และเคเบิลทีวี 40% ที่เหลือเป็นอื่นๆรวมกัน” นายจักรพงษ์ กล่าว
นายจักรพงษ์ สุธีสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีจี มัลติมีเดีย จำกัด ดำเนินธุรกิจเป็นคอนเท้นท์โพรไวเดอร์ ด้วยการถือลิขสิทธิ์รายการชั้นนำจากต่างประเทศ เช่น National Geographic, Discovery Channel, Animal Planet เปิดเผยว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทดำเนินธุรกิจครอบคลุมอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงใน 7 ช่องทาง คือ 1.ฟรีทีวี 2.เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม 3. โฮมวิดีโอ 4. เมอร์ชั่นไดซ์ 5. สิ่งพิมพ์ 6.ภาพยนตร์ และ7.ดิจิตอลดาวน์โหลด
ปัจจุบันมองเห็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ โดยได้วางโมเดลธุรกิจใหม่ไว้ว่า จะต้องมีการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งใน 7 ช่องทาง โดยมีบริษัทลูกเข้าบริหาร เช่นในส่วนของโฮมวิดีโอ ได้เข้าไปถือหุ้นกับทางแมงป่องเป็นอันดับสอง พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทจากเดิม 200 ล้านบาท เป็น 350 ล้านบาท เพื่อให้แต่ละกลุ่มสามารถบริหารเป็นอิสระ
ปีนี้ทางบริษัทยังได้ทุ่มงบกว่า 500 ล้านบาท มากสุดตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการมา จากเดิมที่เป็นเพียงเจ้าของคอนเท้นท์ สู่การมีช่องรายการเป็นของตัวเอง ตั้งเป้าทั้งสิ้น 12 ช่อง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้วราว 8 ช่อง เช่น ทางไลฟ์ทีวีมี 3 ช่อง เช่น เอิร์ธ, ทริปเอเชีย และกับจานPSI 1 ช่อง คือ PSI TV
ล่าสุดร่วมกับจานDTV ลงทุนร่วมกันกว่า 250 ล้านบาท เปิดตัวช่องดีไลฟ์ จะเริ่มออกอากาศ เดือนมี.ค.นี้ หากได้รับการตอบรับที่ดี อนาคตจะจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมารองรับการบริหารงานต่อไป รวมทั้งอาจจะมีการเพิ่มจำนวนช่องขึ้นมาด้วย โดยในปีแรกนี้คาดว่าช่องดีไลฟ์ จะมีรายได้ 90 ล้านบาท ตามมาด้วย 130 ล้านบาท และ 150 ล้านบาท ในปีถัดๆมา หรือสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 2 ปี
นอกจากนี้ยังจะมีการร่วมทุนกับทางแกรมมี่ ในสัดส่วน 50%เท่าๆกัน โดยจะเปิดตัวช่องรายการใหม่ในวันที่ 22 มี.ค.จำนวน 3 ช่อง คือ ช่องฮอลลีวูดซีรี่ส์,ช่องภาพยนตร์ฮอลลีวูด และช่องภาพยนตร์เอเชีย เน้นเกาหลีและญี่ปุ่น แต่ละช่องใช้งบลงทุนราว 70-80 ล้านบาท ซึ่งการร่วมทุนกับทางแกรมมี่นั้น จะมีมากกว่า 3 ช่อง ตั้งเป้าใน 3-5 ปี จะมีไม่ต่ำกว่า 5 ช่อง
“บริษัทจะรุกเปิดช่องรายการค่อนข้างมาก โอกาสและจังหวะพร้อมที่จะเข้าไปลงทุน โดยมองว่าอุตสาหกรรมเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆต่อไป ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้รวมเติบโตขึ้นอย่างน้อย 10% จากปีก่อนมีการเติบโตกว่า 8-12% โดยรายได้หลักมาจากกลุ่มโฮมวิดีโอ กว่า 50% หรือราว 1,000 ล้านบาท รองลงมา คือ อื่นๆรวมกัน ขณะที่การเข้ามารุกเคเบิลทีวีครั้งนี้ มองว่าในปีแรก สัดส่วนรายได้จากเคเบิลทีวีจะอยู่ที่ 20% และภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้จะเปลี่ยนเป็น โฮมวิดีโอ 30% และเคเบิลทีวี 40% ที่เหลือเป็นอื่นๆรวมกัน” นายจักรพงษ์ กล่าว