ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ทันทีที่ปรากฏข่าว “พล.ท.ฮุน มาเน็ต” ลูกชายของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้รับการบาดเจ็บจากการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็ทำให้ชื่อของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตกลายเป็นจุดสนใจในทันที พร้อมทั้งเกิดคำถามตามมาว่า ด้วยเหตุอันใดนายฮุนเซนจึงส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเข้ามาในพื้นที่การสู้รบ
แถมไม่ได้มาในฐานะผู้สังเกตการณ์ หากแต่มารั้งตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยตนเองเลยทีเดียว โดยกองบัญชาการของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตนั้น รายงานข่าวยืนยันว่า ตั้งอยู่ที่บริเวณหมู่บ้านสวายกระลุมสะแอม ซึ่งอยู่ด้านล่างของเขาพระวิหาร
ทั้งนี้ สิ่งที่ยืนยันการมาบัญชาการศึกของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ชนิดไม่ต้องมีข้อสงสัยก็คือ การที่สำนักข่าวเอพีรายงานถึงคำให้สัมภาษณ์ของนายฮุนเซนที่กล่าวในพิธีสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ต บุตรชายของเขาได้เข้าร่วมกำหนดยุทธศาสตร์แนวชายแดนและเจรจากับผู้แทนทหารไทยเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดด้วย
คำยืนยันดังกล่าวของนายฮุนเซนสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ เพราะมีรายงานข่าวจากหลายกระแสที่มีข้อมูลตรงกันว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ตได้คุมกองกำลังหน่วยองครักษ์พิทักษ์นายฮุนเซนพร้อมเคลื่อนอาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการสู้รบระหว่างทั้งสองประเทศจะเกิดขึ้น
แน่นอน เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติและมีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนที่ พล.ท.ฮุน มาเน็ตจะมายึดอำนาจนั้น ก่อนหน้านี้ทหารหน่วยองครักษ์พิทักษ์นายฮุนเซนจะถูกส่งเข้ามาในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แต่ก็อยู่ภายในการกำกับดูแลของ พล.อ.ฮึง บุน ผบ.หน่วยองครักษ์พิทักษ์นายฮุนเซน มิได้อยู่ภายใต้การคุมเกมของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตโดยตรง
ส่วนเหตุผลในการนำทัพด้วยตนเองของ พล.ท.ฮุนมาเน็ตนั้น แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ก็มีเสียงเล่าลือกันว่า เป็นผลมาจากการที่เขาเติบโตในกองทัพกัมพูชาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 2 ตำแหน่งสำคัญที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งคือ รองผบ.กองพลทหารราบ และรอง ผบ.หน่วยองครักษ์พิทักษ์นายฮุนเซน กระทั่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของวุฒิภาวะและความอ่อนอาวุโส จนทำให้ พล.ท.ฮุน มาเน็ตตัดสินใจพิสูจน์ตนเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่มิอาจมองข้ามไปได้ก็คือ การที่นายฮุนเซนส่งบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตนเองมานั้น ก็เพื่อให้เป็นไปตามเกมเพื่อดึงปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นไปสู่เวทีโลกดังเช่นที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะถ้าหากปล่อยให้คนอื่นคุมเกมอาจจะไม่ได้ดั่งใจ แต่ถ้าหากเป็นลูกชายทุกอย่างก็ง่ายมากขึ้น
มิใช่เป็นการมารบเพื่อโชว์บารมีแต่เพียงประการเดียวตามที่หน่วยงานทางด้านความมั่นคงของไทยพยายามปล่อยข่าวออกมาอย่างแน่นอน
และถ้าจะว่าไปแล้ว เวลานี้สถานการณ์ทุกอย่างก็เข้าทางที่นายฮุนเซนต้องการทั้งสิ้น
กระนั้นก็ดี สิ่งที่จะต้องจับตามองกันต่อไปก็คือ การออกมาปล่อยข่าวว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ตถูกสะเก็ตระเบิดของทหารไทยจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในการปะทะกันยกแรกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ข่าวนี้เป็นข่าวลือหรือข่าวจริงที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อสร้างความเคียดแค้นให้เกิดขึ้นกับทหารใต้บังคับบัญชาของ พล.ท.ฮุนมาเน็ต รวมทั้งประชาชนคนกัมพูชาไปพร้อมๆ กันด้วย
กล่าวสำหรับพล.ท.ฮุน มาเน็ตนั้น ถ้าหากย้อนหลังกลับไปดูภูมิหลังและเส้นทางเดินของเขาก็จะพบว่า เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกแผ้วถางทางเดินเพื่อสืบทอดอำนาจต่อจากนายฮุนเซนอย่างชัดเจน
พล.ท.ฮุน มาเน็ตเกิดเมื่อปี พ.ศ.2521 ปัจจุบันมีอายุ 33 ปี เป็นบุตรชายคนโตของนายฮุนเซนกับนางบุน รานี ผู้เป็นภรรยา ซึ่งพบรักกันเมื่อครั้งที่นางบุน รานีทำหน้าที่เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลสนามของเขมรแดงในปี ค.ศ.1971 โดยปัจจุบัน เขารั้งตำแหน่งในกองทัพถึง 2 ตำแหน่งสำคัญๆ ด้วยกันคือ รองผบ.กองพลทหารราบ และรอง ผบ.หน่วยองครักษ์พิทักษ์นายฮุนเซน
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2542 มีข้อมูลจากรายฝ่ายยืนยันตรงกันว่า พล.ท.ฮุน มาเน็ตได้รับทุนการศึกษาจากการคัดสรรทหารจากกองทัพกัมพูชาเพื่อไปศึกษาต่อที่ “เวสต์ปอยต์” ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการทหารของสหรัฐฯ ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลกตะวันตก
แน่นอน งานนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายฮุนเซนคือผู้ผลักดันให้ลูกชายของเขาก้าวไปสู่เส้นทางสายนั้น
หลังจากนั้น พล.ท.ฮุน มาเน็ตได้เข้าศึกษาต่อทางด้านเศรษฐศาสตร์จนได้รับปริญญาเอกทางด้านนี้จากมหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ และเมื่อสำเร็จการศึกษา เขาได้กลับเข้ามาประจำการในกองทัพกัมพูชาโดยไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพอย่างรวดเร็ว และได้รับยศพลตรีมาตั้งแต่ปี 2550 เมื่อถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการกองกำลังอารักขานายกรัฐมนตรี และรองผู้บังคับการกรมต่อต้านการจารกรรมของกองทัพบกกัมพูชา จากนั้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2553 ได้รับเลื่อนยศเป็นพลโท
เช่นเดียวกับในทางการเมือง พล.ท.ฮุน มาเน็ตได้รับการเลือกตั้งให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา(ซีซีพี)
เมื่อครั้งที่ พล.ท.ฮุน มาเน็ตได้รับเลื่อนยศเป็นพลโทนั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มทั่วกัมพูชาทีเดียว จนนายฮุนเซนต้องออกโรงมาตอบโต้ด้วยความเกรี้ยวกราดว่า ลูกชายของเขาเหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าวแล้ว เพราะทั้งจบโรงเรียนนายทหารเวสต์ปอยต์ ในปี 1999 และยังคว้าปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบริสตอลของอังกฤษ
“นายมาเน็ต เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ปี 1994 เขาอยู่กองทัพมา 14 ปี นั่นทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งในกองทัพ”นายฮุนเซนกล่าว
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นายฮุนเซนได้พยายามโหมประโคมข่าวเพื่อสร้างภาพให้กับ พล.ท.ฮุน มาเน็ตมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีโทรทัศน์ของกัมพูชาที่ทำหน้าที่อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
ยกตัวอย่างเช่น “เทเลวิชั่น กัมพูเจีย” ที่มักเรียกสรรพนามของ พล.ท.ฮุน มาเน็ต ออกอากาศอยู่เป็นประจำว่า “ดร.ฮุน มาเน็ต” ขณะที่สถานีโทรทัศน์บายนซึ่งเป็นของลูกสาวนายฮุนเซนที่ปกติทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นกระบอกเสียงในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของฮุนเซน ก็ทำหน้าที่นี้อย่างขมีขมันเช่นกัน ด้วยการระบุว่า เขาคือเขมรคนเดียวที่สำเร็จการศึกษาจากเวสต์ปอยต์
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ในที่สุดแล้ว พล.ท.ฮุน มาเน็ตจะก้าวขึ้นมาสู่เส้นทางสายอำนาจสืบต่อจากผู้เป็นพ่อได้จริงหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่า คู่แข่งที่สำคัญอีกคนหนึ่งของ พล.ท.ฮุน มาเน็ตก็คือ “ฮุน มณี” ลูกคนที่ 4 ที่ว่ากันว่า เป็นลูกคนที่ฮุนเซนหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้สืบทอดอำนาจต่อจากเขาเช่นกัน เนื่องจาก เป็นคนที่มีความสามารถในการเจรจาทางธุรกิจและการเจรจาต่อรองเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือเป็นคนที่ประชาชนคนกัมพูชารักเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ไม่ถือตัวและไม่มีภาพของผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากไม่ได้ทำธุรกิจ