xs
xsm
sm
md
lg

เดิมเขมรอพยพหนีมาอยู่ไทย วันนี้คนไทยอพยพหนีเขมร !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
<b>30 กว่าปีที่แล้วชาวเขมรอพยพหนีสงครามมาอยู่ในประเทศไทย</b>
<b>30 กว่าปีผ่านไปคนไทยต้องกลายเป็นฝ่ายอพยพหนีเขมร</b>
ต้องถือว่าเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่งที่ คนไทยกว่า 20,000 คนต้องอพยพลี้ภัยจากการที่ทหารกัมพูชามีความอำมหิตโหดเหี้ยมยิงอาวุธสงครามเข้าใส่บ้านเรือน โรงเรียน เพื่อให้เกิดความเดือนร้อนกับประชาชนชาวไทยให้มากที่สุด

คนไทยกว่า 20,000 คนต้องทิ้งบ้านเกิด อพยพหนีภัยจากการยิงอาวุธสงครามของทหารกัมพูชา ซึ่งเป็นทหารในประเทศเล็กๆที่ไม่มีศักยภาพทางทหารที่จะเทียบกับประเทศไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางการทหารลำดับที่ 28 ของโลก และเป็นที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากประเทศอินโดนีเซีย ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าประเทศไทยจะต้องมีค่ายอพยพของคนไทยเพื่อลี้ภัยจากทหารเขมร

เพราะประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางทหาร ดังนั้นเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งพักพิงและรองรับผู้อพยพจำนวนมหาศาลนับล้านคนจากกัมพูชาและลี้ภัยสงครามภายในประเทศของกัมพูชามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารในราชอาณาจักรไทย

เพราะความเชื่อมั่นในศักยภาพทหารไทย ซึ่งแม้แต่เวียดนามที่ต้องถือว่ามีศักยภาพสูงในการทำสงครามก็ไม่สามารถเอาชนะทหารไทยได้ ชาวกัมพูชาจึงย่อมต้องไหลทะลักหนีความตายมาหลบอยู่ในดินแดนที่ปลอดภัยในราชอาณาจักรไทย

เด็กๆชาวกัมพูชาจำนวนมากในขณะที่ได้หนีตายจากบ้านแตกสาแหรกขาดต้องอพยพมาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ให้การช่วยเหลือทั้ง ที่พักอาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และการศึกษา จนบางส่วนได้เติบโตลี้ภัยต่อไปในต่างประเทศ และบางส่วนก็กลับไปยังประเทศกัมพูชา ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยนอกจากเป็นประเทศที่มีเอกราชแล้ว ยังมีมนุษยธรรมเป็นที่พึ่งของประชาชนเพื่อนบ้านได้ในยามยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกัมพูชา

สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เคยทรงมีกระแสพระราชดำรัสในการที่อุทิศพระองค์ช่วยเหลือชาวกัมพูชาที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบารมีว่า:

“ฉันตัดสินใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหล่านี้ เท่าที่กำลังความสามารถของฉันจะมี”

ใครจะไปเชื่อว่า 30 ปีผ่านไป ทหารกัมพูชาจะบุกเข้ามาในราชาอาณาจักรไทย แล้วยังยิงอาวุธสงครามใส่ราษฎรไทยอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม จนเป็นเหตุที่ทำให้ราษฎรไทยต้องอพยพหนีภัยในวันนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จุดที่ทหารกัมพูชายิงอาวุธสงครามใส่ราษฎรไทยตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นมานั้นเกิดขึ้นในบริเวณเขาพระวิหาร และภูมะเขือเป็นหลัก ทั้ง 2 จุดนี้ไม่น่าเชื่อได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทหารไทยจะยิงใส่ราษฎรไทยได้เลย เพราะเดิมทหารกัมพูชาอยู่ตีนหน้าผาฝั่งกัมพูชา

ประเทศไทยมีหน้าผาสูงชัน 600-800 เมตรเป็นแนวกั้นชายแดนตามธรรมชาติในบริเวณนี้ ดังนั้นเดิมทีทหารกัมพูชาจึงไม่สามารถบุกเข้ามาทำร้ายราษฎรไทยได้เลยหากไม่ปล่อยปละละเลยมาจนถึงทุกวันนี้ !!!?


เหตุการณ์ปะทะครั้งนี้จนคนไทยต้องอพยพหนีเขมรนั้นเพราะรัฐบาลไทยมัวโง่ยึดแต่ MOU 2543 เป็นคัมภีร์ว่าห้ามเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและห้ามใช้กำลังทหารผลักดันกัมพูชา แต่กัมพูชากลับใช้ MOU 2543 มัดแสนยานุภาพทางการทหารไทย แล้วใช้ทหารกัมพูชาบุกเข้ายึดพื้นที่แนวหน้าผาเขาพระวิหาร ยึดยอดภูมะเขือ สร้างถนน ขนอาวุธเข้ามากลายเป็นฐานทัพที่ยิงจากยอดเขาฝั่งไทยเข้าทำร้ายราษฎรไทยตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นมา

จำได้ว่าเมื่อปี 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เคยชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ต่อกรณีที่ทหารกัมพูชาสร้างถนนจากบ้านโกมุยฝั่งกัมพูชา อ้อมเข้ามาในดินแดนไทย ผ่านวัดแก้วสิขะคีรีสะวาราจนถึงตัวปราสาทพระวิหารว่า ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงไปแล้ว และถือว่าการสร้างถนนของกัมพูชาที่ขึ้นถึงตัวปราสาทพระวิหารนั้นไม่ถือว่าเป็นการเสียดินแดนแต่ประการใด

“ภูมะเขือ” ก็เช่นเดียวกันกัมพูชาสร้างบันไดไต่ขึ้นตามหน้าผาจากฝั่งกัมพูชา ยึดยอดสูงสุดของภูมะเขือฝั่งไทย แล้วยังมีการสร้างกระเช้าลอยฟ้าเพื่อลำเลียงเสบียงและยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง แต่ฝ่ายไทยก็ไม่กล้าใช้ทหารผลักดันเพราะกลัวจะผิดเงื่อนไขใน MOU 2543 จึงได้แต่เพียงแค่คุมเชิงอยู่ตีนเขาภูมะเขือเพื่อไม่ให้ทหารกัมพูชาขยายตัวไปมากกว่านี้

ทหารไทยบางคนอึดอัดกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างมากกว่า กัมพูชาละเมิด MOU 2543 ฝ่ายไทยประท้วงนับสิบครั้งไม่เป็นผล พอฝ่ายไทยเริ่มปะทะตอบโต้กลับกัมพูชาประท้วงตาม MOU 2543 เพียงครั้งเดียวทหารไทยก็ต้องหยุดทันที
ภาพ:ยอดภูมะเขือ(ดินแดนไทย)ที่ถูกทหารกัมพูชายึด กลายเป็นศูนย์โทรคมนาคมที่กัมพูชาสร้างขึ้นโดยใช้กระเช้าลอยฟ้า และใช้เป็นฐานวางกำลังทหารยิงอาวุธสงครามใส่ราษฎรไทย
บัดนี้การปฏิบัติตาม MOU 2543 ของรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว และดื้อตาใสไม่ฟังเสียงคัดค้านของประชาชนมาหลายปี ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นมา กัมพูชาได้ใช้ทั้งปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา และยอดภูมะเขือ ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่บนพื้นแผ่นดินไทยเป็นฐานทัพยิงอาวุธสงครามใส่ราษฎรไทยอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นรัฐบาลไทยยังจะพยายามที่จะยึด MOU 2543 ต่อไปตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยยังปล่อยให้ทหารกัมพูชายึดยอดเขาพระวิหารและภูมะเขือเป็นอันตรายต่อราษฎรไทยต่อไปได้ด้วย และสุดท้ายกัมพูชาอาจจะยึดได้มากกว่านี้หากไทยยังบ้าจี้เดินตาม MOU 2543 ต่อไป

นอกจากนั้นแล้วประเทศไทยยังถูกสะกดจิตจากคนในชาติบางกลุ่มให้แปลความว่า การรักษาอธิปไตยของชาติผลักดันทหารเขมรที่เป็นภัยต่อราษฎรไทยให้ออกจากดินแดนไทยว่า “คลั่งชาติ”!!!?

แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการขจัดต้นตอหรือความเสี่ยงที่จะเป็นภัยต่อราษฎรไทยโดยการผลักดันทหารกัมพูชาให้ออกจากดินแดนไทย รัฐบาลกลับแก้ปัญหาด้วยการอพยพคนไทยหนีออกจากถิ่นฐานเดิมของตัวเอง ภาพคนไทยอพยพหนีทหารเขมรในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสลดและหดหู่ยิ่งนัก

ไม่ต่างจากชาวบ้านแถวสี่แยกราชประสงค์ปีที่แล้วที่ต้องหลบลี้หนีภัยออกจากบ้าน เพราะรัฐบาลปล่อยปละละเลยนานจนเกินไป จนทำให้โจรอันธพาลติดอาวุธสงครามที่ชุมนุมกับคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้วเข้าปล้นธนาคารและร้านค้า ตลอดจนเผาบ้านเผาเมืองให้วอดวายสูญเสียเกินความจำเป็นมาแล้ว

มาวันนี้ รัฐบาลไทยยังไม่ตอบโต้แม้กระทั่งลดปริมาณการส่งออกน้ำมันให้กัมพูชาเพื่อลดทอนการใช้ยุทโธปกรณ์มาทำร้ายราษฎรไทย

มาวันนี้ รัฐบาลไทยยังไม่คิดแม้กระทั่งทำลายถนนเส้นทางลำเลียงอาวุธสงครามขึ้นไปยอดเขาพระวิหาร หรือยอดภูมะเขือ เพื่อหยุดยั้งศักยภาพของกัมพูชาในการยิงอาวุธสงครามทำร้ายราษฎรไทย

มาวันนี้ รัฐบาลไทยยังไม่คิดแม้กระทั่งใช้กองทัพอากาศเพื่อผลักดันให้ทหารกัมพูชาและฐานทัพของกัมพูชาที่อยู่ในดินแดนไทยโดยเร็วที่สุด

ความไม่เด็ดขาดของรัฐบาลตรงนี้จะทำให้ปัญหายืดเยื้อและเสียหายอย่างหนัก เพราะเท่ากับว่าแสนยานุภาพทางการทหารของไทยซึ่งสูงกว่ากัมพูชามากนั้น กลับไม่นำมาใช้เพื่อยุติสงครามยืดเยื้อ และย่อมทำให้คนไทยต้องเดือดร้อนทุกข์ยากยาวนานขึ้น

หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปตามแนวทางของรัฐบาล ก็ต้องตั้งคำถามว่าจุดจบในวิธีการนี้จะเป็นอย่างไรระหว่าง ศูนย์อพยพของคนไทยก็จะต้องอยู่อย่างนี้ให้เป็นที่น่าสลดใจอีกยาวนาน หรือไม่ก็ต้องยุติการยิงโดยปล่อยให้กองกำลังทหารกัมพูชาติดอาวุธสงครามยึดจุดสูงข่มบนยอดเขาในดินแดนไทยเพื่อเอาไว้ยิงราษฎรไทยเมื่อใดก็ได้ที่กัมพูชาไม่พอใจ ใช่หรือไม่ !?

และบริบทนี้ถูกเปรียบเทียบว่าในขณะที่รัฐบาลพยายามจะขอพื้นที่คืนการชุมนุมของผู้ชุมนุมชาวไทยที่ปราศจากอาวุธและส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องแผ่นดิน แต่กลับไม่ดำเนินการขอพื้นที่คืนจากทหารกัมพูชาติดอาวุธที่ทำร้ายราษฎรไทย!!!?

เงื่อนไขใน MOU 2543 ที่กัมพูชาละเมิด และฝ่ายไทยยึดเอาไว้อย่างเคร่งครัด กำลังจะดำเนินการต่อไป และจะบ่มเพาะปัญหาให้ทวีความรุนแรงและยืดเยื้อยาวนานมากขึ้น อย่างน่าเป็นห่วงยิ่ง!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น