ASTVผู้จัดการรายวัน - "มั่นคงเคหะการ" เดินหน้าเปิด 5 โครงการใหม่ ทำเลกำลังซื้อสูง-อยู่แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง-แดง รวมมูลค่า4,000 ล้านบาท พร้อมขยับพอร์ตบ้านพร้อมอยู่มาสู่ระดับ 54% รองรับพฤติกรรมลูกค้า รับรู้รายได้ทันปี 54 หลังเปิดคอนโดฯใหม่ต้องรับรู้รายได้ตามเกณฑ์บัญชีใหม่เสร็จปี 55 ลั่นปีนี้ ยอดรับรู้รายได้กว่า 3,000 ล้านบาทควักเงินสดล็อกราคาวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า 6 เดือน
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือMK กล่าวว่า ในปีนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในหลายด้านได้ส่งสัญญาณในเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการขนส่งมวลชนระบบราง การขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในขาขึ้น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงไปถึงปัจจัยการเมืองที่ต้องรอดูผลการเลือกตั้ง
นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายเงิน-บัญชีบริษัทมั่นคงเคหะการฯ กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในปีนี้ว่า ยังคงเดินหน้าพัฒนาอสังหาฯในเชิงรุกมากขึ้น โดยจะมีการพิจารณาที่ดินแปลงที่มีศักยภาพและอยู่ใกล้เมือง หรือใกล้ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการให้แก่ลูกค้า ในภาะวที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น
โดยในปีนี้มีแผนจะเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกจะเปิด 2 โครงการ รวม 1,340 ล้านบาท ได้แก่ โครงการไพรเวทพาร์ค ชวนชื่นซิตี้ บนทำเลรามอินทรา บนเนื้อที่ 26 ไร่ จำนวน 152 ยูนิต มูลค่า 530 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียม แบรนด์ "เด็น วิภาวดี " บนถนนวิภาวดี-รังสิตเนื้อที่ 7 ไร่ จำนวน 706 ยูนิต มูลค่าโครงการ 810 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายเฟสแรกในวันที่ 11-13 ก.พ.ใน 2 อาคาร จำนวน 450 ยูนิต ห้องพักส่วนใหญ่จะขนาด 28-29 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาเริ่มต้นพร้อมเฟอร์นิเจอร์ 1.08 ล้านบาท ส่วนอาคารที่ 3 คงต้องรอผลการขายในเฟสแรกก่อน
"คอนโดฯที่จะเปิดขายครั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าโดยเรามองว่าในครึ่งแรกของปี 54 น่าจะขายได้ประมาณ 200 ยูนิต และน่าจะปิดการขายเมื่อการก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จในช่วงปีหน้า "
ในส่วนของไตรมาส 2 จะเปิดโครงการเบลล์พาร์ค ชวนชื่นซิตี้ ทำเลวัชรพล เนื้อที่ 24ไร่ จำนวน 116 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท จะเปิดตัว เดือนมิ.ย.ศก.นี้ อีก 2 โครงการที่เหลือจะเปิดช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อยู่ในเส้นของโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่) และสายสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เนื้อที่การพัฒนาโครงการ จะมีประมาณ 20 ไร่ และ 50 ไร่ เน้นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด
" ปีนี้ บริษัทฯได้เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับความต้องการได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์เดิมที่เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแล้ว ปีนี้ยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มที่เป็นทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ซึ่งเพิ่มสัดส่วนการขายมาอยู่ที่ 16% และคอนโดฯอีก 29% ในส่วนของบ้านเดี่ยวและแฝด ปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนของบ้านขายให้มากขึ้นมาอยู่ระดับ 54% จากก่อนหน้าทั้งบ้านพร้อมอยู่และบ้านสั่งสร้างจะมีสัดส่วนเท่ากัน เนื่องจาก การเพิ่มบ้านพร้อมอยู่ จะช่วยให้เรารับรู้รายได้ทันในปีนี้ ขณะที่คอนโดฯคงต้องไปรับรู้รายได้เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 55 ตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่ "นางสาวชุติมา กล่าว
ปัจจุบันบริษัทฯมีบ้านพร้อมอยู่ที่เป็นสินค้ารอขาย(สต๊อก)ปัจจุบัน 80-100 ยูนิตมูลค่าขาย 300-400 ล้านบาท และในปีนี้จะเพิ่มปริมาณบ้านพร้อมอยู่ในระดับ 400 ยูนิต ราคาเฉลี่ยประมาณ 3.6-3.7 ล้านบาท มูลค่าขาย 1,200-1,400 ล้านบาท ขณะที่จะมียอดขายที่มาบันทึกเป็นรายได้ในปีนี้อีก 600 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นยอดขายบ้านสั่งสร้าง ทำให้คาดว่าในปีนี้ บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ตามเป้าที่วางไว้ราว 3,000 ล้านบาท จากที่คาดว่าปี 53จะรับรู้รายได้ประมาณ 2,600 ล้านบาท
นางสาวชุติมา กล่าวถึงวิธีการบริหารต้นทุนจากความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างว่า ทางบริษัทฯได้ควบคุมราคา โดยจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด เพื่อสั่งซื้อเหล็ก ปูนซีเมนต์ในราคาที่ตกลงกัน เช่น เหล็ก ได้ชำระล่วงหน้าไปแล้ว 20 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรองรับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ 6 เดือน
"การที่เลือกโครงการใกล้เมือง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเดินทางของลูกค้าด้วย ซึ่งราคาบ้านนั้นจะขยับขึ้นมากหรือน้อยเพียงใดนั้น เราคงเกาะติดไปถึงปลายปี แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นประมาณ 5% โดยคิดว่าจะเลือกทำเลที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่โครงการและลูกค้า มองว่าโครงการโซนวัชรพล โซนรามอินทรา และแจ้งวัฒนะ หากขยับขึ้นก็ไม่กระทบต่อลูกค้ามากนัก เพราะเป็นบ้านระดับที่สูง แต่โครงการชวนชื่น เพชรเกษม 81 อาจจะขยับราคาขึ้นลำบาก ขณะที่ยอดการปฎิเสธสินเชื่อลูกค้าที่ซื้อโครงการดังกล่าวมีถึง 15% แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะมีแรงซื้อเข้ามาเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาพรวมบริษัทฯยอดรีเจกต์จะประมาณ 11% ทั้งนี้ พอร์ตลูกค้าที่ใช้สินเชื่อบ้านจะมีธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ 30% "
นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือMK กล่าวว่า ในปีนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในหลายด้านได้ส่งสัญญาณในเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการขนส่งมวลชนระบบราง การขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในขาขึ้น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงไปถึงปัจจัยการเมืองที่ต้องรอดูผลการเลือกตั้ง
นางสาวชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายเงิน-บัญชีบริษัทมั่นคงเคหะการฯ กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในปีนี้ว่า ยังคงเดินหน้าพัฒนาอสังหาฯในเชิงรุกมากขึ้น โดยจะมีการพิจารณาที่ดินแปลงที่มีศักยภาพและอยู่ใกล้เมือง หรือใกล้ระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการให้แก่ลูกค้า ในภาะวที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น
โดยในปีนี้มีแผนจะเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกจะเปิด 2 โครงการ รวม 1,340 ล้านบาท ได้แก่ โครงการไพรเวทพาร์ค ชวนชื่นซิตี้ บนทำเลรามอินทรา บนเนื้อที่ 26 ไร่ จำนวน 152 ยูนิต มูลค่า 530 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียม แบรนด์ "เด็น วิภาวดี " บนถนนวิภาวดี-รังสิตเนื้อที่ 7 ไร่ จำนวน 706 ยูนิต มูลค่าโครงการ 810 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายเฟสแรกในวันที่ 11-13 ก.พ.ใน 2 อาคาร จำนวน 450 ยูนิต ห้องพักส่วนใหญ่จะขนาด 28-29 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาเริ่มต้นพร้อมเฟอร์นิเจอร์ 1.08 ล้านบาท ส่วนอาคารที่ 3 คงต้องรอผลการขายในเฟสแรกก่อน
"คอนโดฯที่จะเปิดขายครั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้าโดยเรามองว่าในครึ่งแรกของปี 54 น่าจะขายได้ประมาณ 200 ยูนิต และน่าจะปิดการขายเมื่อการก่อสร้างอาคารแล้วเสร็จในช่วงปีหน้า "
ในส่วนของไตรมาส 2 จะเปิดโครงการเบลล์พาร์ค ชวนชื่นซิตี้ ทำเลวัชรพล เนื้อที่ 24ไร่ จำนวน 116 ยูนิต มูลค่า 500 ล้านบาท จะเปิดตัว เดือนมิ.ย.ศก.นี้ อีก 2 โครงการที่เหลือจะเปิดช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ อยู่ในเส้นของโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางซื่อ-บางใหญ่) และสายสีแดง(บางซื่อ-ตลิ่งชัน) เนื้อที่การพัฒนาโครงการ จะมีประมาณ 20 ไร่ และ 50 ไร่ เน้นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด
" ปีนี้ บริษัทฯได้เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับความต้องการได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์เดิมที่เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดแล้ว ปีนี้ยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่มที่เป็นทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ซึ่งเพิ่มสัดส่วนการขายมาอยู่ที่ 16% และคอนโดฯอีก 29% ในส่วนของบ้านเดี่ยวและแฝด ปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนของบ้านขายให้มากขึ้นมาอยู่ระดับ 54% จากก่อนหน้าทั้งบ้านพร้อมอยู่และบ้านสั่งสร้างจะมีสัดส่วนเท่ากัน เนื่องจาก การเพิ่มบ้านพร้อมอยู่ จะช่วยให้เรารับรู้รายได้ทันในปีนี้ ขณะที่คอนโดฯคงต้องไปรับรู้รายได้เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 55 ตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่ "นางสาวชุติมา กล่าว
ปัจจุบันบริษัทฯมีบ้านพร้อมอยู่ที่เป็นสินค้ารอขาย(สต๊อก)ปัจจุบัน 80-100 ยูนิตมูลค่าขาย 300-400 ล้านบาท และในปีนี้จะเพิ่มปริมาณบ้านพร้อมอยู่ในระดับ 400 ยูนิต ราคาเฉลี่ยประมาณ 3.6-3.7 ล้านบาท มูลค่าขาย 1,200-1,400 ล้านบาท ขณะที่จะมียอดขายที่มาบันทึกเป็นรายได้ในปีนี้อีก 600 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นยอดขายบ้านสั่งสร้าง ทำให้คาดว่าในปีนี้ บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ตามเป้าที่วางไว้ราว 3,000 ล้านบาท จากที่คาดว่าปี 53จะรับรู้รายได้ประมาณ 2,600 ล้านบาท
นางสาวชุติมา กล่าวถึงวิธีการบริหารต้นทุนจากความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างว่า ทางบริษัทฯได้ควบคุมราคา โดยจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด เพื่อสั่งซื้อเหล็ก ปูนซีเมนต์ในราคาที่ตกลงกัน เช่น เหล็ก ได้ชำระล่วงหน้าไปแล้ว 20 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรองรับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ 6 เดือน
"การที่เลือกโครงการใกล้เมือง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเดินทางของลูกค้าด้วย ซึ่งราคาบ้านนั้นจะขยับขึ้นมากหรือน้อยเพียงใดนั้น เราคงเกาะติดไปถึงปลายปี แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะขยับขึ้นประมาณ 5% โดยคิดว่าจะเลือกทำเลที่ไม่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่โครงการและลูกค้า มองว่าโครงการโซนวัชรพล โซนรามอินทรา และแจ้งวัฒนะ หากขยับขึ้นก็ไม่กระทบต่อลูกค้ามากนัก เพราะเป็นบ้านระดับที่สูง แต่โครงการชวนชื่น เพชรเกษม 81 อาจจะขยับราคาขึ้นลำบาก ขณะที่ยอดการปฎิเสธสินเชื่อลูกค้าที่ซื้อโครงการดังกล่าวมีถึง 15% แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะมีแรงซื้อเข้ามาเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาพรวมบริษัทฯยอดรีเจกต์จะประมาณ 11% ทั้งนี้ พอร์ตลูกค้าที่ใช้สินเชื่อบ้านจะมีธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ 30% "