ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ว่า นายพลตาน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดของพม่า ไม่ได้อยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลที่ถูกเสนอดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีพม่า แสดงว่า เขาจะไม่ได้เป็นผู้นำพม่าอย่างเป็นทางการเหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นายพลตาน ฉ่วย วัย 77 ปี ยังคงคุมอำนาจการบริหารประเทศอยู่ และคาดว่าเขาจะเป็นหัวหน้ากองทัพที่ทรงอิทธิพลของพม่า
โดยบัญชีรายชื่อดังกล่าวบรรจุรายชื่อบุคคล 5 ชื่อ เพื่อเฟ้นหาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีอีก 2 ตำแหน่ง
ทั้งนี้ในบัญชีดังกล่าว มีชื่อ “นายพลเต็ง เส่ง” นายกรัฐมนตรีพม่า ในชุดรัฐบาลทหาร และเป็นทายาทที่ได้รับความไว้วางใจจากนายพลตาน ฉ่วย
นางอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า ระบุว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินว่า การที่นายพลตาน ฉ่วย ไม่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีพม่า จะมีผลใดๆ หรือไม่ สิ่งที่รู้ในปัจจุบันก็คือ เขาไม่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีผู้ถูกเสนอชื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีพม่า
นั่นหมายความว่า การครองอำนาจอย่างยาวนานของรัฐบาลทหารพม่า ยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลง
เช่นเดียวกับการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว 26 ปี ของ”ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
จนไม่มีใครคิดว่า การเมืองในกัมพูชาเป็นประชาธิปไตย
การเลือกตั้งเมื่อ กรกฎาคม 2551 ซึ่ง ฮุน เซน ชนะลอยลำ สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่ถูก นายสม รังสี หัวหน้าพรรคสมรังสี ฝ่ายค้าน ร้องเรียน และเรียกร้องให้ยกเลิกการเลือกตั้ง โดยให้เหตุผลว่ามีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียงที่แข็งแกร่งที่สุดของพรรคฝ่ายค้าน กว่า 200,000 ราย กลับไม่มีชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ต่างกับคะแนนเสียงในชนบทของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party- CPP) ที่ได้มาอย่างผิดปกติจากชนบท
โดยเฉพาะเมื่อ ฮุนเชน ใช้ “เขาพระวิหาร” เป็นเครื่องมือเรียกคะแนนนิยมจากชาวชนบท แต่กลับไม่เอ่ยถึงปัญหาการปักปันเขตแดนระหว่างกัมพูชา กับเวียดนาม
ข้อกล่าวหาว่าทุจริตการเลือกตั้งในอดีตหลายครั้งของกัมพูชา ไม่เคยสร้างรอยด่างพร้อยให้กับพรรคประชาชน ที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน โดยสมเด็จฯฮุน เซน วัย 60 ปี ถือเป็นผู้นำประเทศที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดของเอเชีย
เขาประกาศว่าจะเป็นผู้นำประเทศไปจนถึงอายุ 90 ปี
อำนาจอันยาวนาน ฮุนเซนมาพร้อมกับความรุ่งเรืองของการคอร์รัปชัน
นางบุน รานี ฮุนเซน ( Bun Rany Hun Sen ) ภริยาของ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถูกต้องสงสัยมาเป็นเวลานานว่า เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ที่อยู่เบื้องหลังการบริหารประเทศ และในฐานะ "สตรีที่ร่ำรวยผิดปกติ"
สตรีหมายเลข 1 ถูกสื่อฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลวิจารณ์อย่างมาก ในการประดับประดาเครื่องทองฝังเพชรแวววาวรอบตัว ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่ว่าจะเป็นต่างหู สร้อยคอ หรือ กำไลข้อมือ
ที่สำคัญกว่านั้น ฮุนเซน กำลังวางบันไดอำนาจทางการเมืองให้ “พล.ต.ฮุนมาเน็ท” ลูกชายวัย 33 ปี นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีในอนาคต ภายใต้กลไกการเลือกตั้งที่เขาควบคุมได้ทั้งหมด
พล.ต.ฮุนมาเน็ท นายพลศิษย์เก่าเวสต์พอยท์ จากสหรัฐฯ และดอกเตอร์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย บริสทอล ยูนิเวอร์ซิตี้ ในอังกฤษ
ลูกชายของฮุนเซน ไม่ได้ใช้อำนาจบารมีของพ่อไต่เต้าขึ้นมา จนกลายเป็นนายพลแห่งหน่วยทหารราบของกองทัพกัมพูชา และเป็นหัวหน้าหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายของกัมพูชา
แต่อำนาจใต้ดิน และบนดินของฮุนเซน ในกัมพูชามีมาก จนขนาดฝ่ายค้านอย่าง “สม รังสี” ต้องลี้ภัยทางการเมืองออกนอกประเทศ เพราะกลัวอำนาจของฮุนเซน
แต่คนอย่าง “วีระ สมความคิด” และ “ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์” ไม่กลัวฮุนเซน
การที่ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกคนไทยทั้งสอง....ไม่มีใครเชื่อว่า ไม่ได้มาจากคำสั่ง ฮุนเซน
บนพื้นฐานของการเมืองในประเทศกัมพูชา
วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ถูกตั้ง 3 ข้อหา คือ เข้าเมืองผิดกฎหมาย, เข้าพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต และประมวลข้อมูลอันเป็นภัยต่อการป้องกันประเทศ หรือ จารกรรมข้อมูล
เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกวีระ และ ราตรี โดยสั่งจำคุกวีระเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1,800,000 เรียล ส่วนราตรี ถูกจำคุก 6 ปี ปรับ 1,200,000 เรียล โดยไม่รอลงอาญา แต่ให้เวลา 1 เดือนในการยื่นอุทธรณ์ทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น มารดาของวีระ ที่นั่งฟังคำพิพากษาอยู่ถึงกับน้ำตาไหล
หลังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัววีระและราตรี เดินทางไปที่เรือนจำเปรย์ซอว์ทันที
วีระ ตะโกนบอกกับสื่อมวลชนระหว่างเดินออกจากศาลว่า ไม่ยอมรับคำตัดสิน คำตัดสินไม่เป็นธรรม และจะขอยื่นอุทธรณ์ต่อไป
นั่นจึงทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขีดเส้นตาย 3 วัน ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แก้ปัญหานี้
ชีวิตของผู้นำทั้งสองประเทศไม่แตกต่างกับ “ฮอสนี มูรารัค” ประธานาธิบดีอียิปต์ วัย 82 ปี ที่ครองอำนาจมาแล้ว 30 ปี
ชาวอียิปต์นับล้าน กำลังขับไล่มูบารัค ออกนอกประเทศ ด้วยความสุดทน ความยากจน และเกลียดชังต่อการคอร์รัปชัน
ครอบครัวท่านผู้นำร่ำรวยมหาศาล แต่ประชาชนชาวอียิปต์ต่างตกงาน และยากจนข้นแค้น
แม้ว่า มูบารัค จะแถลงทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก หลังจากเกิดการชุมนุมขับไล่เขาว่า เขาไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 6 หลังจากหมดวาระสมัยที่ 5 ในเดือนกันยายนนี้
พร้อมทั้งประกาศว่า เขาจะตายบนพื้นแผ่นดินอียิปต์
แต่ประชาชนชาวอียิปต์ ต่างพากันตอบสนองคำประกาศทางทีวีของมูบารัค ด้วยการชูรองเท้าขึ้นมาพร้อมตะโกนว่า
" Go, go, go! We are not leaving until he leaves."
นั่นแสดงว่า ความเกลียดชังต่อมูบารัค มีมากมายมหาศาลจริงๆ เพราะการชูรองเท้าขึ้น มันหมายถึง การเหยียดหยาม ดูถูกอย่างรุนแรงที่สุดของชาวมุสลิม
โดยเฉพาะความเกลียดชังต่อพฤติกรรมคอร์รัปชัน และเผด็จการ
อียิปต์ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ทั้งนี้การเลือกตั้งประธานาธิบดี กระทำโดยการลงประชามติ และจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี
ปัจจุบัน มูบารัค เป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 5
มูบารัค สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองและครอบครัว และพยายามสืบทอดอำนาจให้ “กามัล มูบารัค” ลูกชายวัย 47 ปี ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง และอำนาจทางทหาร
เหมือนกับนายพลตาน ฉ่วย และ ฮุนเซน
มีรายงานข่าวที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า ครอบครัวมูบารัค ได้เดินทางออกจากประเทศ โดยให้ นายกามัล เป็นผู้นำครอบครัว รวมทั้งนางซูซาน ภริยาผู้นำอียิปต์ ขึ้นเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว พร้อมกระเป๋าสัมภาระ 97 ใบ เดินทางออกนอกประเทศไปพำนักยังอังกฤษ
โดยเชื่อว่า ครอบครัวมูบารัค จะเดินทางไปพำนักลี้ภัยยังแมนชั่นหรู มูลค่า 8.5 ล้านปอนด์ ตั้งที่อยู่ในเขตไนท์บริดจ์ ทางตะวันตกของกรุงลอนดอน
นางซูซาน นาย กามัล และนายอลา บุตรชายคนโต ถูกมองว่า เป็นสัญญลักษณ์ของการคอร์รัปชันในอียิปต์ โดยเฉพาะนางซูซาน ถูกเปรียบเทียบว่า เป็นเสมือนพระนางมารีอังตัวเนตต์ แห่งฝรั่งเศส
ภายใต้ความช่วยเหลือทางการทหารของสหรัฐฯ แก่อียิปต์ มูลค่าสูงถึง 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 45,000 ล้านบาท
มีการประเมินกันว่า ประธานาธิบดีมูบารัค ได้สั่งสมความมั่งคั่งให้แก่ตระกูลร่ำรวย มีทรัพย์สินเป็นมูลค่ากว่า 25,000 ล้านปอนด์ ( น่าจะรวยกว่าทักษิณ ) นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำอียิปต์ เมื่อปี 1981 ( พ.ศ.2524 )
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวอียิปต์ คาดหวังว่า "die on Egyptian soil." เหมือนที่ มูบารัค ประกาศไว้
โชคดีอยู่บ้างตรงที่ “ทักษิณ” น่าจะพบ มูบารัค ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลก !!