xs
xsm
sm
md
lg

หมายจับกวนประสาท

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2554 ผมได้ส่งจดหมายไปถึงผู้ที่รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องหมายจับกวนประสาท มีข้อความดังนี้

1. บัดนี้ได้มีการจับกุมนายการุณ ใสงาม และมีข่าวออกมาพาดพิงถึงผม ดังข้างล่างนี้

“ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องหาในคดีชุมนุมสนามบินทั้งสองแห่งที่ถูกศาลออกหมายจับในชุดที่ไม่เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก จนพนักงานสอบสวนได้นำหลักฐานไปขออนุมัติศาลออกหมายจับ มีทั้งหมด 11 ราย โดยมีการเข้ามอบตัวและถูกจับกุมแล้ว 7 รายคือ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ น.ส.ศิริลักษณ์ หรือจอย ผ่องโชค ดาราสาวชื่อดัง นางอัจฉรา สุวรรณวงศ์ น.ส.ต้นฝัน หรือโย แสงอาทิตย์ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ และนายการุณ จึงคงเหลือผู้ต้องหาที่ยังจับกุมไม่ได้อีก 4 ราย ประกอบด้วย นายวีระ สมความคิด นายไชยพร เกิดมงคล นายปราโมทย์ นาครทรรพ และ นายสมชาย วงศ์เวช”

2. ผมต้องขอโทษ ผมมิได้มีเจตนากวนประสาทท่าน แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่อยากให้ใครกวนประสาทผม เรื่องนี้ผมได้มีหนังสือไปถึงท่านหลายครั้งแล้วว่ากรณีของผมต่างกับรายอื่นๆ ดังนี้

2.1 ผมยังไม่เห็นหมายเรียกครั้งที่ 2 และได้ติดต่อมายังท่านหลายครั้งว่าถ้าหากยังยืนยันจะออกหมายเรียก ขอให้ออกไปยังภูมิลำเนาของผมให้ถูกต้อง

2.2 สำหรับหมายเรียกครั้งที่ 1 ซึ่งตำรวจได้ขอหมายจับจากศาล ผมได้ไปรายงายตัวต่อศาล และศาลยกคำร้องตำรวจไปนานแล้ว

2.3 สำหรับข้อกล่าวหาและผู้กล่าวหาเดิม คือ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผมได้รับจดหมายตอบดังที่สำเนาส่งให้ตำรวจแล้ว สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่เคยกล่าวหาผมในข้อหาใดๆ

3. ผมต้องการความเป็นปกติสุข และยินดีร่วมมือกับตำรวจ แต่ตำรวจสมควรแจ้งหรือชี้แจงให้ผมทราบ รวมทั้งตอบจดหมายของผมด้วยว่าจะเอาอย่างไร

ถ้ายังไม่ตอบและปฏิบัติการใดๆ อันป็นการละเมิดสิทธิของผม ท่านจะต้องรับผิดชอบ

คำชี้แจงตั้งแต่ปีมะโว้ (นำส่งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย)

การที่ผมไม่ไปมอบตัวรับทราบข้อกล่าวหาเหมือนท่านอื่นๆ ก็เพราะสำนึกของผมในฐานะครูสอนกฎหมายและอดีตตุลาการรัฐธรรมนูญที่อาวุโสสูงสุดของประเทศ ณ เวลานี้ ทั้งนี้เพราะผมมิได้ร่วมกระทำผิดกับผู้ใด และผมได้ศึกษาหมายเรียกข้อกล่าวหา และวิธีส่งหมายเรียกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่สามารถทำอะไรมักง่ายเพื่อความสะดวกของตนเองและตำรวจ โดยทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และสร้างความเคยตัวให้ตำรวจผู้มีแนวโน้มจะลุแก่อำนาจและขาดความระมัดระวังอยู่เป็นนิจ

หลักนิติธรรมและขบวนการใช้กฎหมายอันชอบธรรม (Due Process of Law) นั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในระบอบประชาธิปไตย ทั้งตำรวจและผมต่างก็มีหน้าที่เคารพรักษาไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

ขอสรุปประเด็นให้เข้าใจกรณีของผมง่ายๆ ดังนี้

1. เมื่อทราบเรื่องหมายเรียก 8 กรกฎาคม 2553 ที่ส่งไม่ถูกต้องตาม ป.วิอาญา ผมก็มิได้ทำเฉย แต่ติดต่อขอให้ส่งหมายไปที่สถานีตำรวจเมืองหนองคายซึ่งอยู่ติดกับสำนักงานของผม หรือจะส่งที่บ้านก็ขอให้มีผู้ลงนามรับให้ถูกต้อง บ้านผมอยู่ในบริเวณเดียวกับศูนย์ฝึกอบรมมีผู้เข้าออกมากทั้งไทยและลาว ไม่รู้ใครเป็นใคร ถ้าจะให้ดีก็โทรศัพท์นัดหมายผมเสียก่อน ผมเคยได้รับหมายที่ส่งมาจากสถานีตำรวจในเกาะกลางทะเล ก็ได้นำไปบันทึกรับทราบที่สถานีตำรวจหนองคาย และขอให้ส่งมาใหม่ ก็ไม่ปรากฏว่าส่งกลับมาสักครั้ง
2. ตามสิ่งที่อ้างถึงหมายเลข 1 และ 3 นายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงษ์ ได้โทร.มาแจ้งว่าไม่เคยกล่าวหาผมในข้อกล่าวหาใดๆ และเมื่อผมสอบถามไปยังสำนักเลขาธิการรัฐมนตรี ก็ได้รับคำยืนยันดังกล่าว ในสิ่งที่อ้างถึง 4 ที่ผมนำส่งให้ท่านแล้ว ว่าผมมิได้ถูกกล่าวหาโดยนายพงษ์ศักดิ์หรือสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในข้อกล่าวหาใดๆ ส่วนผู้กล่าวหาที่ใช้คำว่า “กับพวก” อันน่าจะหมายความว่าพวกของนายพงษ์ศักดิ์นั้น ได้สอบถามแล้วปรากฏว่าไม่มี นอกจากตำรวจจะสมมติขึ้นมาเอง

3. เมื่อพล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับผมและผู้อื่น ผมได้ไปให้การเป็นลายลักษณ์อักษรและไปฟังคำสั่งศาลในวันที่ 15 กันยายน 2553 ซึ่งศาลมีคำสั่งยกคำร้องทั้งหมด

4. ต่อมาในเดือนตุลาคม 2553 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ออกหมายเรียกบุคคลต่างๆ ซ้ำอีกเป็นครั้งที่เท่าใดผมไม่ทราบ แต่ผมยังไม่ได้รับหมายเรียกอีกเลย ตำรวจจะเอาเหตุผลใดมาขอให้ศาลออกหมายจับผม

เนื่องจากผมกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ผมไม่ต้องการให้มีการขอหมายจับกลั่นแกล้งเช่นกรณีของนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงใคร่ขอเรียนว่า ถ้าท่านยังเห็นว่าพล.ต.ท.สมยศ ควรขอหมายจับดำเนินคดีกับผม ขอให้โทร.ถึงผมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 086-378-9585 จะได้นัดหมายกันเพื่อความสะดวกทั้งสองฝ่าย

อนึ่ง ผมใคร่เสนอข้อเท็จจริงและความเห็นที่น่าจะเป็นประโยชน์แก่ตำรวจสัก 2-3 ประการ คือ

1. การไปท่าอากาศยานฯ ผมมีผู้ร่วมไปด้วย 2 ท่านเป็นประจำคือ พล.อ.อ.เทอดศักดิ์ สัจจะรักษ์ อดีต.ผบ.ทอ.และเสธ.ทอ. ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการท่าฯ กับอดีตเอกอัครราชทูตสุรพงษ์ ชัยนาม เราทั้งสามมิได้ไปร่วมชุมนุมแต่ไปในฐานะวิทยากรรับเชิญ นอกจากการบรรยายให้ความรู้แก่ผู้ชุมนุมแล้ว พล.อ.อ.เทิดศักดิ์ยังมีข้อแนะนำให้ทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ว่าการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และผู้ชุมนุมให้ละเว้นการปฏิบัติที่จะนำมาซึ่งความเสียหายและเสียภาพลักษณ์ประเทศ เช่น แนะนำมิให้ผู้ชุมนุมขัดขวางหรือยึดหอบังคับการบิน ลานจอด และลานวิ่งเครื่องบิน และพื้นที่ใช้งานหลักในการบริการผู้โดยสาร ฯลฯ ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็นำไปปฏิบัติจนเกิดผลดีดังจะยืนยันได้จากคำให้การของผู้ว่าการท่าฯ ต่อศาลแพ่ง ส่วนการปิดสนามบินนั้นเป็นคำสั่งของรัฐบาล

2. ผู้ที่ถูกกล่าวหาครั้งนี้มีจำนวนมากเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และตำรวจ ทหารระดับผู้บังคับบัญชาสูงสุด เช่น อดีตอธิบดีกรมตำรวจ อดีตรองผู้บัญชาการทหารอากาศ อดีตผู้อำนวยการสถาบันการป้องกันประเทศ หากปรากฏว่ามีวี่แววของการกระทำผิดจริง ตำรวจจะต้องปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและเข้มงวดยิ่งกว่านี้ หาไม่แล้วจะเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ แต่หากเป็นเพียงการแก้เก้อเรื่อง สองมาตรฐานหรือการเอาใจนักการเมือง ผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยวาจาหรืออนุมัติให้ออกหมายต้องนับว่าบ้องตื้นเป็นอย่างมากที่ไม่เข้าใจถึงหลักนิติธรรม และขบวนการใช้กฎหมายที่ชอบธรรมเลย

3. มีบุคคลอีกเป็นจำนวนมากกระทำความผิดร้ายแรงต่อหน้าตำรวจที่ราชประสงค์จนเกิดการเผาบ้านเผาเมือง และทำลายความมั่นคงชาติและราชบัลลังก์ แต่บัดนี้ยังลอยนวลอยู่หลายคน โดยตำรวจมิได้แสดงความสนใจว่าจะติดตาม

ผมใคร่อ้างคำกล่าวของอดีตนายกรัฐมนตรีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีถึงจะทำอะไรไม่ได้เลย หากปฏิรูปตำรวจได้อย่างเดียวก็จะพอใจ

การที่ผมพยายามชี้แจงเรื่องของผมมาเป็นขั้นตอน แทนที่จะเลือกเอาทางออกง่ายๆ ไปพิมพ์นิ้วมือแล้วก็เอออวยกันแบบไทยๆ ตามที่ตำรวจเสนอแนะ ก็เพราะผมเห็นว่าสมควรสังคายนาระบบตำรวจของเราอย่างจริงจัง

ผมยินดีเสมอที่จะร่วมมือกับตำรวจอาชีพที่เคร่งครัดในขบวนการกฎหมายที่ชอบธรรม (due process of law) แต่ในกรณีที่แม้แต่เพียงสงสัยว่าตำรวจเป็นเครื่องมือของนักการเมืองรังแกประชาชน ผมยอมไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายตำรวจที่โอ้อวดและแสดงความสัมพันธ์กับนักการเมืองอย่างออกนอกหน้า โดยไม่คำนึงถึงเกียรติตำรวจของไทยเลย
กำลังโหลดความคิดเห็น