ASTVผู้จัดการรายวัน-กขช.ไฟเขียวโครงการประกันรายได้ข้าวนาปรังรอบ 2 เริ่ม 1 ก.พ. เคาะราคาข้าวขาว ข้าวหอมปทุม 1.1 หมื่นบาท ข้าวเหนียว 9.5 พันบาท พร้อมมอบอคส. ตั้งโต๊ะซื้อข้าว เป้าหมาย 2 ล้านตันข้าวเปลือก หากราคาตก เผย “มาร์ค”เบรก “พาณิชย์”ขอซื้อข้าวสาร 2 ล้านตัน
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการประกันรายได้ข้าวนาปรังรอบที่ 2 ของปี เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2554 ถึง 15 ก.ย.2554 โดยพิจารณารับประกันข้าว 3 ประเภท ได้แก่ ข้าวขาว 5% (ข้าวเจ้า) ราคา 1.1 หมื่นบาทต่อตัน ข้าวหอมปทุมธานี 1.1 หมื่นบาทต่อตันและข้าวเหนียว 9,500 บาทต่อตัน และเพิ่มปริมาณการใช้สิทธิเป็น 25 ตันต่อครัวเรือน เท่ากันหมดทุกชนิดข้าว
ส่วนข้าวหอมมะลิ ไม่ได้เข้าโครงการในครั้งนี้ เนื่องจากข้าวหอมมะลิเมื่อปลูกในช่วงนาปรังจะได้รับแดดน้อย กว่าปลูกในช่วงนาปี จึงเป็นห่วงเรื่องคุณภาพ มาตรฐานของข้าว จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรในกรณีที่ข้าวราคาตก มี 3 แนวทาง คือ ให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงโดยการตั้งโต๊ะรับซื้อผ่านองค์การคลังสินค้าสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ตามราคาอ้างอิง โดยมีปริมาณเป้าหมาย 2 ล้านตันข้าวเปลือก ให้เปิดตลาดนัดรับซื้อข้าวเปลือก และให้เกษตรกรสามารถฝากข้าวไว้ในยุ้งฉาง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติเงินช่วยเหลือสำหรับกรณีที่เกษตรกรเข้าใช้สิทธิรับประกันไม่ทันในครั้งที่แล้ว วงเงิน 600 ล้านบาท
“ในปีนี้มีชาวนาเข้ามาขึ้นทะเบียนเข้าโครงการรับประกันรายได้จำนวน 3.7 ล้านคน โดยคาดว่าข้าวนาปรังจะมีผลผลิตทั้งสิ้นจำนวน 8-9 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ส่วนวงเงินที่จะใช้ดำเนินการในโครงการดังกล่าวขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท ที่ใช้สำหรับโครงการประกันรายได้พืช 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ ในด้านความพร้อม ขณะนี้มีโรงสีที่ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการกว่า 900 ราย โดยโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับความช่วยเหลือ โดยคิดดอกเบี้ย 2% เป็นระยะเวลา 3 เดือน
นายปราโมทย์ วานิชานนท์ กรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุมกขช.ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่อนุมัติตามที่กรมการค้าต่างประเทศ เสนอขอให้อนุมัติซื้อข้าวสาร 2 ล้านตัน โดยใช้งบประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อต้องการนำตลาดและพยุงราคา เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้าวไว้ในสต๊อก เพราะต้องเสียค่าเสื่อมและค่าบำรุง อีกทั้งเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในนโยบายของรัฐบาล
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการประกันรายได้ข้าวนาปรังรอบที่ 2 ของปี เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2554 ถึง 15 ก.ย.2554 โดยพิจารณารับประกันข้าว 3 ประเภท ได้แก่ ข้าวขาว 5% (ข้าวเจ้า) ราคา 1.1 หมื่นบาทต่อตัน ข้าวหอมปทุมธานี 1.1 หมื่นบาทต่อตันและข้าวเหนียว 9,500 บาทต่อตัน และเพิ่มปริมาณการใช้สิทธิเป็น 25 ตันต่อครัวเรือน เท่ากันหมดทุกชนิดข้าว
ส่วนข้าวหอมมะลิ ไม่ได้เข้าโครงการในครั้งนี้ เนื่องจากข้าวหอมมะลิเมื่อปลูกในช่วงนาปรังจะได้รับแดดน้อย กว่าปลูกในช่วงนาปี จึงเป็นห่วงเรื่องคุณภาพ มาตรฐานของข้าว จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรในกรณีที่ข้าวราคาตก มี 3 แนวทาง คือ ให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงโดยการตั้งโต๊ะรับซื้อผ่านองค์การคลังสินค้าสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ตามราคาอ้างอิง โดยมีปริมาณเป้าหมาย 2 ล้านตันข้าวเปลือก ให้เปิดตลาดนัดรับซื้อข้าวเปลือก และให้เกษตรกรสามารถฝากข้าวไว้ในยุ้งฉาง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังอนุมัติเงินช่วยเหลือสำหรับกรณีที่เกษตรกรเข้าใช้สิทธิรับประกันไม่ทันในครั้งที่แล้ว วงเงิน 600 ล้านบาท
“ในปีนี้มีชาวนาเข้ามาขึ้นทะเบียนเข้าโครงการรับประกันรายได้จำนวน 3.7 ล้านคน โดยคาดว่าข้าวนาปรังจะมีผลผลิตทั้งสิ้นจำนวน 8-9 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ส่วนวงเงินที่จะใช้ดำเนินการในโครงการดังกล่าวขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากวงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท ที่ใช้สำหรับโครงการประกันรายได้พืช 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” นายยรรยงกล่าว
ทั้งนี้ ในด้านความพร้อม ขณะนี้มีโรงสีที่ได้รับการอนุมัติเข้าร่วมโครงการกว่า 900 ราย โดยโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับความช่วยเหลือ โดยคิดดอกเบี้ย 2% เป็นระยะเวลา 3 เดือน
นายปราโมทย์ วานิชานนท์ กรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ กล่าวว่า ในการประชุมกขช.ครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่อนุมัติตามที่กรมการค้าต่างประเทศ เสนอขอให้อนุมัติซื้อข้าวสาร 2 ล้านตัน โดยใช้งบประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อต้องการนำตลาดและพยุงราคา เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้าวไว้ในสต๊อก เพราะต้องเสียค่าเสื่อมและค่าบำรุง อีกทั้งเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในนโยบายของรัฐบาล
