โคคา ปรับแผน 1-2 ปี สยายปีกบุกชานเมือง หวั่นชุมนุมการเมืองราชประสงค์พ่นพิษ หลังปี 53 ยอดวูบต่ำกว่าเป้า 12-15% ปิดรายได้ 400 ล้านบาท เดินหน้าแตกไลน์ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด”คาเฟ่เจแปนนิสสตาร์” ทุ่ม 150 ล้านบาท ผุด 12 สาขา ใน 3 ปี หวังขยายฐานวัยทำงาน โอดค่าแรง-ขนส่งพุ่ง จ่อปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้น แก้เกมเศรษฐกิจยุโรปทรุด ลุยเอเชียแทน สิ้นปีรายได้ รวม 2500 ล้านบาท
นายพิทยา พันธุ์เพ็ญโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคคา โฮลดิ้งอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารโคคา สุกี้ เปิดเผยว่า นโยบายการขยายธุรกิจร้านอาหาร 3 แบรนด์หลัก คือ โคคา สุกี้ ,แม็งโก้ทรี และไชน่า ไวท์ ในช่วง 1-2 ปีนี้มุ่งเน้นชานเมืองเป็นหลัก เนื่องจากเกรงกลัวการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นย่านราชประสงค์ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีที่ผ่านมา ผลประกอบการต่ำกว่าเป้าหมาย 12-15% หรือมีรายได้ 400 ล้านบาท กำไร 9% จากเป้าที่ตั้ง 10-12% มาจากผลกระทบการชุมนุมการเมือง โดยมีร้านอาหารที่ เซ็นทรัลเวิลด์ สยาม และสุรวงศ์ ต้องปิดดำเนินการเฉลี่ย 6 เดือน
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 15ล้านบาท ขยายสาขาที่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ 2 สาขา และล่าสุดเปิดร้านแม็งโก้ทรี ในเดือนมิถุนายนนี้ อีกทั้งทุ่ม 22 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ใหม่ และเตรียมเปิดสาขาที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ในกลุ่มร้านอาหารโคคา และไชน่า ไวท์ ส่วนในปี 2555 จะเปิดสาขาที่เมกะบางนา ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บริษัทไม่เคยมีสาขาชานเมือง เนื่องจากการรับรู้แบรนด์กลุ่มเป้าหมายยังไม่กว้างมากนัก แต่ปรากฎว่าหลังจากนำร่องขยายสาขาที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ 1 แห่ง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นายพิทยา กล่าวว่า ในช่วงปลายปีบริษัทวางแผนแตกธุรกิจใหม่คอนเซปต์”คาเฟ่เจแปนนิสสตาร์” ในลักษณะกึ่งฟาสต์ฟู้ด เพื่อขยายฐานลูกค้ามาสู่อายุ 27 ปีขึ้นไป จากเดิมฐานลูกค้าร้านอาหารอายุ 35-60 ปี ขณะนี้กำลังหาทำเลที่มีศักยภาพ อาทิ สถาบันการศึกษา แพลทตินัม ขนาด50-100 ตร.ม.ใช้งบ 150 ล้านบาท เปิด 12 แห่งภายใน 3 ปี ขณะเดียวกันผลพวงจากค่าแรงงานและค่าขนส่งที่ปรับขึ้น บริษัทจึงต้องพิจารณาปรับราคาบางเมนูเพิ่มขึ้นในปีนี้ ส่วนราคาวัตถุดิบ อาทิ น้ำมันปาล์ม ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากนัก เนื่องจากบริษัทลดปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารผลพวงจากวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันปาล์ม และน้ำตาล ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ซึ่งแต่ละแบรนด์หันมาทำกันมากขึ้น จะได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง จากคอนเซปต์ที่รับประทานได้เต็มที่ ทำให้ร้านอาหารดังกล่าว ต้องเน้นการขยายสาขาเพื่อเพิ่มยอดขาย สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทมุ่งเน้นคอนเซปต์การสนุกของการรับประทานอาหาร โดยปีนี้ใช้งบการตลาด 10-15 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าโต 25% หรือมีรายได้ 500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้ แม็งโก้ทรี 50% และโคคา สุกี้ 50%
ส่วนการขยายสาขาต่างประเทศปีนี้ บริษัทเน้นขยายในภูมิภาคเอเชีย โดยจะเปิด 5 สาขา ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น 2 สาขา มาเลเซีย 1 สาขา และฟิลิปปินส์ 1 สาขา ขณะที่อังกฤษ 1 สาขา เนื่องจากในยุโรปประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตามผลประกอบการต่างประเทศราว 2,000 ล้านบาท มากกว่ารายได้ในประเทศ 4 เท่าตัว แบ่งรายได้ แม็งโก้ทรี 70% และ 30% เป็นโคคา
นายพิทยา พันธุ์เพ็ญโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคคา โฮลดิ้งอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารโคคา สุกี้ เปิดเผยว่า นโยบายการขยายธุรกิจร้านอาหาร 3 แบรนด์หลัก คือ โคคา สุกี้ ,แม็งโก้ทรี และไชน่า ไวท์ ในช่วง 1-2 ปีนี้มุ่งเน้นชานเมืองเป็นหลัก เนื่องจากเกรงกลัวการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นย่านราชประสงค์ ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีที่ผ่านมา ผลประกอบการต่ำกว่าเป้าหมาย 12-15% หรือมีรายได้ 400 ล้านบาท กำไร 9% จากเป้าที่ตั้ง 10-12% มาจากผลกระทบการชุมนุมการเมือง โดยมีร้านอาหารที่ เซ็นทรัลเวิลด์ สยาม และสุรวงศ์ ต้องปิดดำเนินการเฉลี่ย 6 เดือน
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 15ล้านบาท ขยายสาขาที่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ 2 สาขา และล่าสุดเปิดร้านแม็งโก้ทรี ในเดือนมิถุนายนนี้ อีกทั้งทุ่ม 22 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาที่เซ็นทรัลเวิลด์ใหม่ และเตรียมเปิดสาขาที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ในกลุ่มร้านอาหารโคคา และไชน่า ไวท์ ส่วนในปี 2555 จะเปิดสาขาที่เมกะบางนา ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บริษัทไม่เคยมีสาขาชานเมือง เนื่องจากการรับรู้แบรนด์กลุ่มเป้าหมายยังไม่กว้างมากนัก แต่ปรากฎว่าหลังจากนำร่องขยายสาขาที่เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ 1 แห่ง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นายพิทยา กล่าวว่า ในช่วงปลายปีบริษัทวางแผนแตกธุรกิจใหม่คอนเซปต์”คาเฟ่เจแปนนิสสตาร์” ในลักษณะกึ่งฟาสต์ฟู้ด เพื่อขยายฐานลูกค้ามาสู่อายุ 27 ปีขึ้นไป จากเดิมฐานลูกค้าร้านอาหารอายุ 35-60 ปี ขณะนี้กำลังหาทำเลที่มีศักยภาพ อาทิ สถาบันการศึกษา แพลทตินัม ขนาด50-100 ตร.ม.ใช้งบ 150 ล้านบาท เปิด 12 แห่งภายใน 3 ปี ขณะเดียวกันผลพวงจากค่าแรงงานและค่าขนส่งที่ปรับขึ้น บริษัทจึงต้องพิจารณาปรับราคาบางเมนูเพิ่มขึ้นในปีนี้ ส่วนราคาวัตถุดิบ อาทิ น้ำมันปาล์ม ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากนัก เนื่องจากบริษัทลดปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารผลพวงจากวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันปาล์ม และน้ำตาล ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ซึ่งแต่ละแบรนด์หันมาทำกันมากขึ้น จะได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง จากคอนเซปต์ที่รับประทานได้เต็มที่ ทำให้ร้านอาหารดังกล่าว ต้องเน้นการขยายสาขาเพื่อเพิ่มยอดขาย สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทมุ่งเน้นคอนเซปต์การสนุกของการรับประทานอาหาร โดยปีนี้ใช้งบการตลาด 10-15 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าโต 25% หรือมีรายได้ 500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้ แม็งโก้ทรี 50% และโคคา สุกี้ 50%
ส่วนการขยายสาขาต่างประเทศปีนี้ บริษัทเน้นขยายในภูมิภาคเอเชีย โดยจะเปิด 5 สาขา ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น 2 สาขา มาเลเซีย 1 สาขา และฟิลิปปินส์ 1 สาขา ขณะที่อังกฤษ 1 สาขา เนื่องจากในยุโรปประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตามผลประกอบการต่างประเทศราว 2,000 ล้านบาท มากกว่ารายได้ในประเทศ 4 เท่าตัว แบ่งรายได้ แม็งโก้ทรี 70% และ 30% เป็นโคคา