00 จะเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงหรือกังวลในเรื่อง “ผลประโยชน์” ในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยหรือเปล่าไม่ทราบ ทำให้คำพูดและท่าทางของ รองนายกฯฝ่ายความง่อนแง่น “เทพเทือก” ออกไปในทาง “เพี้ยน” จนขัดหูขัดตา การที่บอกว่าธงที่ปักเอาไว้เหนือประตู “วัดแก้วศิขาคีรีสิวาระ” ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทพระวิหาร ชายแดนศรีสะเกษ เป็นเพียง “ธงวัด”ไม่ใช่ธงชาติ แต่ไม่ทันไรก็มีคนเอารูปที่ปรากฏเป็นหลักฐานว่าเป็น “ธงชาติกัมพูชา” ตั้งเด่นเป็นสง่า พลิ้วไหว ประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนชัดเจน เจอแบบนี้เข้าทั่นรองฯ “ตาถั่ว” ไม่รู้ว่าจะแถไปแบบไหนอีก
00 ปากก็บอกว่าจะไม่ยอม “ขัดใจ” สร้างความขุ่นเคืองให้ “ฮุนเซน” หรือสร้างความตึงเครียดตามแนวชายแดนในทุกกรณีเสียอีก ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือเมากันแน่ ที่กล้าพูดออกมาในบรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หรือว่า มันลืมไปแล้วว่าเป็นรองนายกฯ ของประเทศไหน “ไทยหรือ เขมร” กันแน่
00 ข่าวชิ้นหนึ่งปรากฏออกมาจากฝั่งกัมพูชาเช่นเคย เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อ้างคำสัมภาษณ์ ฮุนเซน ว่าในเร็วๆนี้ จะส่ง “สกอาน” รองนายกฯ เดินทางมาเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรในทะเลอ่าวไทยในพื้นที่พิพาท มันก็ถึง “บางอ้อ” ว่านี่อาจเป็นการเฉลยปริศนามาตลอดว่า ทำไมคนในรัฐบาลไทยถึงได้ “ยอมหงอ” กับฝ่ายกัมพูชากันนัก ตรงกันข้ามจะ “ฟึดฟัด” ฮึ่มฮั่มเอากับคนไทยรักชาติ ที่ออกมาเปิดโปง อยู่เรื่อย
00 ก่อนหน้านี้เคยมีการสงสัยมานานในทำนองว่า หลังจาก “ทักษิณ” ถูกถีบพ้นอำนาจแล้วก็มีการ “สวมตัว” ผลประโยชน์ทางทะเลดังกล่าว โดยกลุ่ม “อำนาจใหม่” แถมหลายคนยังสงสัยไม่หายว่า ทำไมรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงถึงได้มาเป็นประธานเจรจาในเรื่อง “ธุรกิจพลังงาน” แต่เมื่อมีข่าวยืนยันความเคลื่อนไหวจาก “พนมเปญ” แบบนี้ออกมา มันก็ทำให้ “จบข่าว” เร็วขึ้น
00 ขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นับวันก็เปลือยกายล่อนจ้อน พูดจาพลิ้วไป พลิ้วมา เพื่อให้ตัวเองได้ชื่อว่าเป็น “นายกรัฐมนตรี” ต่อไปเท่านั้น ใช้วาทะที่ลื่นไหล ตบตาไปวันๆ อ้างว่าเอ็มโอยู 43 เป็นเครื่องมือป้องกันการรุกล้ำของกัมพูชา ซึ่งล่าสุดมีการเพิ่มคำว่า “เพิ่มเติม” เข้ามาต่อท้าย แต่เอาเถอะ ไม่ว่ากัน เอากันเฉพาะกรณีแผ่นป้าย “ที่นี่เขมร” กับ “ธงชาติเขมรบนวัดแก้วศิขาฯ” จะว่าไง แม้ว่าเรื่องป้ายจะถูกทุบไปแล้ว เหลือแต่ธงชาติ ซึ่งก็หมายความว่าฝ่ายตรงเข้ามาประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนชัดเจน ถ้าบอกว่าไม่ให้รุกล้ำเพิ่ม แล้วก็ต้องถามว่า ไม่ใช่เพิ่งมาปักเมื่อวาน เพราะกรณีของธงนั้น ตามหลักฐานที่ปรากฏในรูปถ่ายมีระบุวันที่ ค.ศ.ไว้ชัดว่า “2008-7-31” ในยุค พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เมื่อกว่า 2 ปีผ่านมา นั่นคือ “ยังไม่มี” ความหมายก็คือ เพิ่งมีหลังจากที่ พล.ท.กนก ถูกเด้งไปแล้ว แผ่นป้ายก็เหมือนกัน ถ้าภาคประชาชนไม่ออกมาโวยวาย จนนั่งกันไม่ติดต้องบังคับให้ทำลายกันหรือไม่ ทุด !!
00 ที่ผ่านมารัฐบาล มาร์ค ก็ได้แต่ประท้วงด้วย “น้ำลาย” อยู่ในกรุงเทพฯ สองวันก่อนรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ อ้างว่าวัดแก้วฯเป็นของกัมพูชา จะไม่ยอมถอนธงชาติเด็ดขาดแถมยังอ้างไม่ไว้หน้าอีกว่า เป็นเพราะผลจากการพิสูจน์เขตแดนจากแนว “สันปันน้ำ” ตามที่ “น้องมาร์ค” ยึดมั่นอยู่นั่นแหละ แต่ปัญหาตามมาก็คือ ถ้าเขาไม่ยอมถอยยังยืนกรานว่าวัดแก้วฯเป็นของเขา มันก็มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการ “พื้นที่โดยรอบ” ปราสาทพระวิหาร เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เข้าเงื่อนไขของคณะกรรมการมรดกโลกพอดี ก็จะทำให้การขึ้นทะเบียนสมบูรณ์มากขึ้น
00 ส่วนข้ออ้างของ มาร์ค ที่ระบุว่า หากไทยถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้วจะทำให้ฝ่ายโน้นขึ้นทะเบียนโดยฝ่ายเดียวได้นั้น มาถึงนาทีนี้ไม่รู้ว่า “โกหกจนลืม” คำพูดตัวเองไปแล้วหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้พูดอย่าง วันนี้พูดอีกอย่าง หากจำได้เมื่อปีที่แล้วในช่วงที่ สุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ เป็นตัวแทนไปประชุมมรดกโลกที่บราซิล เคยถูกทักท้วงว่าอย่าเข้าร่วมประชุม เพราะจะแสดงการยอมรับผลการพิจารณาหากมีการโหวต แต่มาร์ค “หน้าหล่อ” ก็บอกว่า ต้องแสดงท่าทีคัดค้านให้เห็น เพราะถ้ายูเนสโกขึ้นทะเบียนโดยที่ทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้ง ถือว่าขัดวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งที่เน้นเรื่อง “ความร่วมมือ” เป็นหลัก มาวันนี้กลับพูดอีกอย่าง
00 ถามว่าถ้าถอนตัวออกมาแล้วมันจะขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ยอมรับไม่ให้ความร่วมมือ เกิดภาพความขัดแย้ง “หยุดชะงัก” หรืออย่างมากก็นำไปสู่การเจรจาหาข้อยุติร่วมกันอย่างเป็นธรรมให้ได้ก่อน ซึ่งอาจจะเป็นกี่ปีกี่ชาติไม่รู้ แต่ตราบใดถ้าเราเสียเปรียบ เสียอธิปไตยก็ไม่ต้องไปยอมรับแบบโง่ๆ เป็นอันขาด
00 เรื่องแก้รธน. ก็เหมือนกัน บอกว่าหากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยตามกระบวนการก็พร้อม “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่ ความหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเมื่อตัวเอง “ได้เปรียบ” แล้วเท่านั้น เพราะสูตร 375+125 เขารู้กันทั้งเมืองแล้วว่า ทั้ง"มาร์ค-เทือก" แฮปปี้ มีโอกาสกลับมาต่อยอดอำนาจได้อีกรอบนั่นเอง อย่างนี้ “ตัวเองต้องมาก่อน” หรือ ประชาชนต้องมาก่อน หา !!
00 ปากก็บอกว่าจะไม่ยอม “ขัดใจ” สร้างความขุ่นเคืองให้ “ฮุนเซน” หรือสร้างความตึงเครียดตามแนวชายแดนในทุกกรณีเสียอีก ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือเมากันแน่ ที่กล้าพูดออกมาในบรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หรือว่า มันลืมไปแล้วว่าเป็นรองนายกฯ ของประเทศไหน “ไทยหรือ เขมร” กันแน่
00 ข่าวชิ้นหนึ่งปรากฏออกมาจากฝั่งกัมพูชาเช่นเคย เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อ้างคำสัมภาษณ์ ฮุนเซน ว่าในเร็วๆนี้ จะส่ง “สกอาน” รองนายกฯ เดินทางมาเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรในทะเลอ่าวไทยในพื้นที่พิพาท มันก็ถึง “บางอ้อ” ว่านี่อาจเป็นการเฉลยปริศนามาตลอดว่า ทำไมคนในรัฐบาลไทยถึงได้ “ยอมหงอ” กับฝ่ายกัมพูชากันนัก ตรงกันข้ามจะ “ฟึดฟัด” ฮึ่มฮั่มเอากับคนไทยรักชาติ ที่ออกมาเปิดโปง อยู่เรื่อย
00 ก่อนหน้านี้เคยมีการสงสัยมานานในทำนองว่า หลังจาก “ทักษิณ” ถูกถีบพ้นอำนาจแล้วก็มีการ “สวมตัว” ผลประโยชน์ทางทะเลดังกล่าว โดยกลุ่ม “อำนาจใหม่” แถมหลายคนยังสงสัยไม่หายว่า ทำไมรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงถึงได้มาเป็นประธานเจรจาในเรื่อง “ธุรกิจพลังงาน” แต่เมื่อมีข่าวยืนยันความเคลื่อนไหวจาก “พนมเปญ” แบบนี้ออกมา มันก็ทำให้ “จบข่าว” เร็วขึ้น
00 ขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นับวันก็เปลือยกายล่อนจ้อน พูดจาพลิ้วไป พลิ้วมา เพื่อให้ตัวเองได้ชื่อว่าเป็น “นายกรัฐมนตรี” ต่อไปเท่านั้น ใช้วาทะที่ลื่นไหล ตบตาไปวันๆ อ้างว่าเอ็มโอยู 43 เป็นเครื่องมือป้องกันการรุกล้ำของกัมพูชา ซึ่งล่าสุดมีการเพิ่มคำว่า “เพิ่มเติม” เข้ามาต่อท้าย แต่เอาเถอะ ไม่ว่ากัน เอากันเฉพาะกรณีแผ่นป้าย “ที่นี่เขมร” กับ “ธงชาติเขมรบนวัดแก้วศิขาฯ” จะว่าไง แม้ว่าเรื่องป้ายจะถูกทุบไปแล้ว เหลือแต่ธงชาติ ซึ่งก็หมายความว่าฝ่ายตรงเข้ามาประกาศอธิปไตยเหนือดินแดนชัดเจน ถ้าบอกว่าไม่ให้รุกล้ำเพิ่ม แล้วก็ต้องถามว่า ไม่ใช่เพิ่งมาปักเมื่อวาน เพราะกรณีของธงนั้น ตามหลักฐานที่ปรากฏในรูปถ่ายมีระบุวันที่ ค.ศ.ไว้ชัดว่า “2008-7-31” ในยุค พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 เมื่อกว่า 2 ปีผ่านมา นั่นคือ “ยังไม่มี” ความหมายก็คือ เพิ่งมีหลังจากที่ พล.ท.กนก ถูกเด้งไปแล้ว แผ่นป้ายก็เหมือนกัน ถ้าภาคประชาชนไม่ออกมาโวยวาย จนนั่งกันไม่ติดต้องบังคับให้ทำลายกันหรือไม่ ทุด !!
00 ที่ผ่านมารัฐบาล มาร์ค ก็ได้แต่ประท้วงด้วย “น้ำลาย” อยู่ในกรุงเทพฯ สองวันก่อนรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ อ้างว่าวัดแก้วฯเป็นของกัมพูชา จะไม่ยอมถอนธงชาติเด็ดขาดแถมยังอ้างไม่ไว้หน้าอีกว่า เป็นเพราะผลจากการพิสูจน์เขตแดนจากแนว “สันปันน้ำ” ตามที่ “น้องมาร์ค” ยึดมั่นอยู่นั่นแหละ แต่ปัญหาตามมาก็คือ ถ้าเขาไม่ยอมถอยยังยืนกรานว่าวัดแก้วฯเป็นของเขา มันก็มีผลกระทบต่อการบริหารจัดการ “พื้นที่โดยรอบ” ปราสาทพระวิหาร เพราะตั้งอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เข้าเงื่อนไขของคณะกรรมการมรดกโลกพอดี ก็จะทำให้การขึ้นทะเบียนสมบูรณ์มากขึ้น
00 ส่วนข้ออ้างของ มาร์ค ที่ระบุว่า หากไทยถอนตัวจากภาคีมรดกโลกแล้วจะทำให้ฝ่ายโน้นขึ้นทะเบียนโดยฝ่ายเดียวได้นั้น มาถึงนาทีนี้ไม่รู้ว่า “โกหกจนลืม” คำพูดตัวเองไปแล้วหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้พูดอย่าง วันนี้พูดอีกอย่าง หากจำได้เมื่อปีที่แล้วในช่วงที่ สุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ เป็นตัวแทนไปประชุมมรดกโลกที่บราซิล เคยถูกทักท้วงว่าอย่าเข้าร่วมประชุม เพราะจะแสดงการยอมรับผลการพิจารณาหากมีการโหวต แต่มาร์ค “หน้าหล่อ” ก็บอกว่า ต้องแสดงท่าทีคัดค้านให้เห็น เพราะถ้ายูเนสโกขึ้นทะเบียนโดยที่ทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้ง ถือว่าขัดวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งที่เน้นเรื่อง “ความร่วมมือ” เป็นหลัก มาวันนี้กลับพูดอีกอย่าง
00 ถามว่าถ้าถอนตัวออกมาแล้วมันจะขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวได้อย่างไร ในเมื่อเราไม่ยอมรับไม่ให้ความร่วมมือ เกิดภาพความขัดแย้ง “หยุดชะงัก” หรืออย่างมากก็นำไปสู่การเจรจาหาข้อยุติร่วมกันอย่างเป็นธรรมให้ได้ก่อน ซึ่งอาจจะเป็นกี่ปีกี่ชาติไม่รู้ แต่ตราบใดถ้าเราเสียเปรียบ เสียอธิปไตยก็ไม่ต้องไปยอมรับแบบโง่ๆ เป็นอันขาด
00 เรื่องแก้รธน. ก็เหมือนกัน บอกว่าหากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยตามกระบวนการก็พร้อม “ยุบสภา” เลือกตั้งใหม่ ความหมายก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเมื่อตัวเอง “ได้เปรียบ” แล้วเท่านั้น เพราะสูตร 375+125 เขารู้กันทั้งเมืองแล้วว่า ทั้ง"มาร์ค-เทือก" แฮปปี้ มีโอกาสกลับมาต่อยอดอำนาจได้อีกรอบนั่นเอง อย่างนี้ “ตัวเองต้องมาก่อน” หรือ ประชาชนต้องมาก่อน หา !!