ASTVผู้จัดการรายวัน- บอร์ดทีพีซี สั่งบริษัทเร่งศึกษาเตรียมพร้อมปิดกิจการ เพื่อโอนไปอยู่ททท.หรือยุบโครงการทิ้ง หลังกฤษฎีกาฟันธงไม่ให้สิทธิ์วีซ่าแก่เอกชน ขณะที่ททท.ก็ต้องเรียกประชุมคณะทำงานเตรียมแผนรับโอน ด้าน”เมธาวี” ทิ้งเก้าอี้รักษาการผู้จัดการใหญ่ อ้าง งานเยอะ
น.ส.เพ็ญสุดา ไพรอร่าม รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด(ทีพีซี) ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด เปิดเผยว่า บอร์ดได้มอบหมายให้ ทีพีซี ไปดำเนินการศึกษาแผนการดำเนินงานใน 2 แนวทางหากไม่มีเอกชนสนใจประมูลซื้อกิจการ คือการโอนกิจการไปอยู่กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ การยุบเลิกโครงการ ซึ่งในส่วนของ ททท.ก็จะศึกษาใน 2 แนวทางดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน เพื่อเตรียมแผนรองรับ
ทั้งนี้เพราะมีรายงานการตีความจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วว่า รัฐไม่สามารถโอนสิทธิ์ วีซ่าฟรี ให้เอกชนนำไปดำเนินธุรกิจเองได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะทำให้การตีราคาขายบริษัทต้องลดลง และมีความไม่น่าสนใจสูง โดยขณะนี้ คงต้องรอเพียงหนังสืออย่างเป็นทางการจากกฤษฎีการ จากนั้นจึงเข้าสู่กระทวนการที่ คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขต(TOR) การจำหน่ายธุรกิจบัตรไทยแลนด์อีลิทการ์ด
ซึ่งมีนายสมบัติ คุรุพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธาน จะเรียกประชุม เพื่อ ทำร่างทีโออาร์ บรรจุเงื่อนไขสิทธิ์ที่ผู้ซื้อจะได้รับ เพื่อเข้าสู่กระบวนการประกาศหาผู้สนใจ ซึ่งขบวนการทั้งหมดคาดว่าจะแล้วแสร็จ ราวเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ และเมื่อไม่มีเอกชนสนใจซื้อจึงทำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบและเลือกแนวทางอื่นต่อไป ซึ่งมีอีก 2 แนวทางเลือก คือ โอนธุรกิจไปให้ ททท.บริหาร กับการยุบทิ้งโครงการ ซึ่งเป็นข้อเสนอใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เป็นผู้เสนอ
***ททท.เตรียมประชุมคณะทำงานรับโอนอีลิท***
สำหรับในส่วนของ ททท. จะมีการประชุมคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการรองรับการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการบัตรสมาชิกพิเศษไทยแลนด์พริวิเลจคาร์ด ในวันที่ 28 ม.ค.นี้ เพื่อหารือและเตรียมแผนงานที่จะรองรับบุคคลากร และการบริหารจัดการสมาชิกอีลิทการ์ 2,566 ราย ที่จะต้องโอนเข้ามาอยู่ในความดูแลของ ททท. หากไม่สามารถจำหน่ายกิจการได้ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ด ททท. 23 ก.พ54 ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในทีพีซี แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องสอบถามฝ่ายกฏหมายให้แน่ใจด้วยว่าตามกฎหมายแล้ว ททท.สามารถนำอีลิทการ์ดมาบริหารจัดการได้
***ตั้งงบกว่าร้อยล้านปรนเปรอคนรวย****
อย่างไรก็ตาม หากต้องมาอยู่ในความดูแลของททท. จะทำให้ททท.ต้องตั้งของบประมาณจากรัฐเพื่อมาใช้บริการสมาชิกอีลิทการ์ดอย่างน้อยปีละ 110 ล้านบาท เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ย9 ล้านบาท รวมถึงการจัดตั้งแผนขึ้นมาดูแล และ การเอาท์ซอส จ้างบริษัท ให้บริการทั้งคอลเซ็นเตอร์ และ การรับรองสมาชิกที่สนามบินด้วย
ซึ่งรัฐต้องพิจารณาเองว่าจะแบกรับภาระตรงนี้ตลอดไป หรือยุบทิ้งโครงการใช้เงินราว 3,000 ล้านบาท แต่ก็เสียภาพลักษณ์ประเทศ ส่วนททท.เองทำได้เพียงรับดูแลสมาชิกแต่ไม่สามารถขายสมาชิกใหม่เพิ่มได้
***”เมธาวี” ทิ้งเก้าอี้รักษาการ****
น.ส.เพ็ญสุดา กล่าวอีกว่า ที่ประชุมบอร์ด ยังได้อนุมัติ ตามที่ น.ส.เมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งรักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ.54 แต่ยังคงไว้ซึ่งการเป็นกรรมการในบอร์ดทีพีซี และบอร์ด ททท. โดยให้เหตุผลเรื่องติดภาระกิจงานหลายด้านและเรื่องการเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่ยังค้างอยู่ ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้แต่งตั้ง นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ กรรมการบอร์ดทีพีซีซึ่งเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง เป็นรักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี มีผล 1 ก.พ.นี้เช่นกัน ซึ่งที่เลือกนางจันทิมา เป็นเพราะ บริษัทอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องการโอนหรือปิดกิจการ ซึ่งจะต้องมีเรื่องการตรวจสอบบัญชีทรัพยืสินและหนี้สิน อีกทั้งขณะนี้ทีพีซีก็ไม่ได้ดำเนินธุรกิจใดเพื่อหารายได้แล้ว
นอกจากนั้นที่ประชุมบอร์ด ทีพีซี ยังเห็นชอบให้ บริษัท นำเงินดอลลาร์สหรัฐ 4.2 ล้านเหรียญ ไปแลกเป็นเงินบาทซึ่งคาดว่าจะได้ราว 130 ล้านบาท แล้วไปศึกษาว่าธนาคารรัฐแห่งใดให้ผลตอบแทนสูงสุดเพื่อนำเงินไปฝากไว้รอการเบิกใช้ในแต่ละเดือน
น.ส.เพ็ญสุดา ไพรอร่าม รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการ(บอร์ด) บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด(ทีพีซี) ผู้บริหารโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด เปิดเผยว่า บอร์ดได้มอบหมายให้ ทีพีซี ไปดำเนินการศึกษาแผนการดำเนินงานใน 2 แนวทางหากไม่มีเอกชนสนใจประมูลซื้อกิจการ คือการโอนกิจการไปอยู่กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ การยุบเลิกโครงการ ซึ่งในส่วนของ ททท.ก็จะศึกษาใน 2 แนวทางดังกล่าวนี้เช่นเดียวกัน เพื่อเตรียมแผนรองรับ
ทั้งนี้เพราะมีรายงานการตีความจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วว่า รัฐไม่สามารถโอนสิทธิ์ วีซ่าฟรี ให้เอกชนนำไปดำเนินธุรกิจเองได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะทำให้การตีราคาขายบริษัทต้องลดลง และมีความไม่น่าสนใจสูง โดยขณะนี้ คงต้องรอเพียงหนังสืออย่างเป็นทางการจากกฤษฎีการ จากนั้นจึงเข้าสู่กระทวนการที่ คณะกรรมการกำหนดร่างขอบเขต(TOR) การจำหน่ายธุรกิจบัตรไทยแลนด์อีลิทการ์ด
ซึ่งมีนายสมบัติ คุรุพันธ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธาน จะเรียกประชุม เพื่อ ทำร่างทีโออาร์ บรรจุเงื่อนไขสิทธิ์ที่ผู้ซื้อจะได้รับ เพื่อเข้าสู่กระบวนการประกาศหาผู้สนใจ ซึ่งขบวนการทั้งหมดคาดว่าจะแล้วแสร็จ ราวเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ และเมื่อไม่มีเอกชนสนใจซื้อจึงทำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบและเลือกแนวทางอื่นต่อไป ซึ่งมีอีก 2 แนวทางเลือก คือ โอนธุรกิจไปให้ ททท.บริหาร กับการยุบทิ้งโครงการ ซึ่งเป็นข้อเสนอใหม่ ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) เป็นผู้เสนอ
***ททท.เตรียมประชุมคณะทำงานรับโอนอีลิท***
สำหรับในส่วนของ ททท. จะมีการประชุมคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการรองรับการดำเนินงานเกี่ยวกับโครงการบัตรสมาชิกพิเศษไทยแลนด์พริวิเลจคาร์ด ในวันที่ 28 ม.ค.นี้ เพื่อหารือและเตรียมแผนงานที่จะรองรับบุคคลากร และการบริหารจัดการสมาชิกอีลิทการ์ 2,566 ราย ที่จะต้องโอนเข้ามาอยู่ในความดูแลของ ททท. หากไม่สามารถจำหน่ายกิจการได้ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ด ททท. 23 ก.พ54 ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในทีพีซี แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องสอบถามฝ่ายกฏหมายให้แน่ใจด้วยว่าตามกฎหมายแล้ว ททท.สามารถนำอีลิทการ์ดมาบริหารจัดการได้
***ตั้งงบกว่าร้อยล้านปรนเปรอคนรวย****
อย่างไรก็ตาม หากต้องมาอยู่ในความดูแลของททท. จะทำให้ททท.ต้องตั้งของบประมาณจากรัฐเพื่อมาใช้บริการสมาชิกอีลิทการ์ดอย่างน้อยปีละ 110 ล้านบาท เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเฉลี่ย9 ล้านบาท รวมถึงการจัดตั้งแผนขึ้นมาดูแล และ การเอาท์ซอส จ้างบริษัท ให้บริการทั้งคอลเซ็นเตอร์ และ การรับรองสมาชิกที่สนามบินด้วย
ซึ่งรัฐต้องพิจารณาเองว่าจะแบกรับภาระตรงนี้ตลอดไป หรือยุบทิ้งโครงการใช้เงินราว 3,000 ล้านบาท แต่ก็เสียภาพลักษณ์ประเทศ ส่วนททท.เองทำได้เพียงรับดูแลสมาชิกแต่ไม่สามารถขายสมาชิกใหม่เพิ่มได้
***”เมธาวี” ทิ้งเก้าอี้รักษาการ****
น.ส.เพ็ญสุดา กล่าวอีกว่า ที่ประชุมบอร์ด ยังได้อนุมัติ ตามที่ น.ส.เมธาวี ตันวัฒนะพงษ์ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งรักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ.54 แต่ยังคงไว้ซึ่งการเป็นกรรมการในบอร์ดทีพีซี และบอร์ด ททท. โดยให้เหตุผลเรื่องติดภาระกิจงานหลายด้านและเรื่องการเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่ยังค้างอยู่ ขณะเดียวกันที่ประชุมยังได้แต่งตั้ง นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ กรรมการบอร์ดทีพีซีซึ่งเป็นผู้แทนจากกระทรวงการคลัง เป็นรักษาการผู้จัดการใหญ่ ทีพีซี มีผล 1 ก.พ.นี้เช่นกัน ซึ่งที่เลือกนางจันทิมา เป็นเพราะ บริษัทอาจมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องการโอนหรือปิดกิจการ ซึ่งจะต้องมีเรื่องการตรวจสอบบัญชีทรัพยืสินและหนี้สิน อีกทั้งขณะนี้ทีพีซีก็ไม่ได้ดำเนินธุรกิจใดเพื่อหารายได้แล้ว
นอกจากนั้นที่ประชุมบอร์ด ทีพีซี ยังเห็นชอบให้ บริษัท นำเงินดอลลาร์สหรัฐ 4.2 ล้านเหรียญ ไปแลกเป็นเงินบาทซึ่งคาดว่าจะได้ราว 130 ล้านบาท แล้วไปศึกษาว่าธนาคารรัฐแห่งใดให้ผลตอบแทนสูงสุดเพื่อนำเงินไปฝากไว้รอการเบิกใช้ในแต่ละเดือน