วานนี้(25 ม.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ว่า ไม่ต้องกังวล เคยพูดไปแล้วว่า เป็นสถานการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นตราบใดที่ยังมีผู้ก่อเหตุรุนแรงอยู่ และขณะนี้ยังมีคนพวกนี้หลงเหลืออยู่ และเขาพร้อมใช้กำลังกับฝ่ายเราตลอดเวลา แต่เราต้องระมัดระวังป้องกันตนเอง ที่ผ่านมาคิดว่า เขาไม่อยากให้มีใครบาดเจ็บหรือสูญเสีย ดังนั้นอยู่ที่เราว่า จะป้องกันตนเองได้มากน้อยขนาดไหน ช่วงที่ผ่านมาปฏิบัติงานด้านกิจการพลเรือน การช่วยเหลือประชาชน ด้านให้ประชาชนมีส่วนร่วมนั้นได้ผลมากประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ การปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องการประเมินที่จะมีตัวชี้วัดหลายๆตัว ทั้งงานใน 6 มาตรการหลักและมาตรการรองที่เรากำหนดไปแล้ว โดยจะมีหน่วยงานภายนอกที่ประเมินไม่ใช่ทหารเป็นผู้ประเมินคนเดียว ซึ่งเมื่อประเมินออกมาแล้วรวมทั้ง 6 ยุทธศาสตร์แล้วได้ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับภัยแทรกซ้อนเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินถือเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจ การดูแลกระบวนการยุติธรรมในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่เหมาะสม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานในพื้นที่พิเศษที่มีการปฏิบัติการของฝ่ายที่ก่อเหตุรุนแรง แต่หากคนไม่ฟังกฎหมายและอ้างกฎหมาย เพื่อหาช่องว่างเพื่อทำให้เกิดความวุ่นวายจึงต้องมีกฎหมายพิเศษออกมา ถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มีการใช้กฎหมายพิเศษ การแก้ไขปัญหาได้ต้องเป็นคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ต้องมีการดูทุกอย่าง ต้องดูเจ้าหน้าที่ว่า ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีต้องเอาออกนอกพื้นที่ ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและดูแลบ้านเมืองเพื่อความปลอดภัย ที่ผ่านมายอมรับว่า ได้ใช้งบประมาณไปจำนวนมาก แต่ทหารใช้ส่วนเดียว คือ ค่าเบี้ยเลี้ยง ส่วนงบประมาณด้านการจัดซื้อไม่เพียงพออยู่แล้ว ซึ่งอุปกรณ์ก็ยังซื้อไม่ครบ แต่มีการพูดว่าจัดซื้อแล้วเกิดการทุจริต ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
“จะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ เขาก็ต้องรักษาชีวิตเขา มีสื่อบางฉบับเขียนว่าใช้เงินมากมาย อยากถามกลับว่า ชีวิตคนเราป้องกันไว้ได้เท่าไร คนใต้อยู่ในพื้นที่ประมาณ 3 ล้านคน เราต้องดูแลคนบริสุทธ์ให้ได้มากที่สุด หรือไม่ต้องมีการสูญเสียเลย ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2547 มาถึงวันนี้กว่า 5 ปี อยากถามว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นบ่มเพาะมากี่ปี และมีคนปลุกปั่นให้สถานการณ์รุนแรงมานานเท่าไร เขาสร้างคนมาและกล้าหยิบอาวุธสู้กับเจ้าหน้าที่ คิดว่า ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ฝึกวันสองวันแล้วมาสู้กับเจ้าหน้าที่ได้ แต่เขาใช้เวลานาน ดังนั้นทหารแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลาด้วยการสร้างความเข้าใจ เมื่อปี 2547 ทหารเข้าไปในพื้นที่ไม่ได้ประชาชนในพื้นที่ต่อต้าน แต่ทหารอดทน จนวันนี้ เขารู้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำร้ายประชาชน ซึ่งคนบริสุทธิ์ในภาคใต้ยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่หมดทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายคนบอกว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้ทำไมไม่ไปดูต่างประเทศ ทำไมเข้าแก้ปัญหาได้ เช่นในทวีปยุโรป อยากถามกลับไปว่าเขาแก้มากี่เป็น 10-20 ปี ซึ่งเขาแก้โดยใช้กฎหมายพิเศษ เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นทุกสื่อไม่สามารถจะถ่ายภาพได้จนกว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถเคลียร์พื้นที่ให้ได้เรียบร้อยถึงจะสามารถออกสื่อได้ กล้องซีซีทีวีเป็นหมื่นกล้อง ทุกอย่างมีกฎระเบียบหมด และบ้านเรากฎหมายสักฉบับใช้ได้หรือไม่ แทบจะใช้ไม่ได้ เพราะทุกคนต้องการสิทธิเสรีภาพ จะเคอร์ฟิวก็ไม่ได้ แต่ต่างชาติเขาใช้ได้หมด จะออกกฎออกระเบียบเขาสามารถคุมได้หมด และเขาสามารถแก้ปัญหาจนเสร็จเรียบร้อย แต่วันนี้เราทำอะไร แม้แต่เรื่องความลับเราก็อยากรู้ ไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนต้องการให้ลูกน้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ โดยเฉพาะประชาชน มาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยของ ผบ.ทบ.ที่ผ่านมาไม่เคยมีเจตนารมณ์ทำให้เกิดความรุนแรง เพราะถ้าทำอย่างนั้นแล้วไม่ใช่ทหาร ทหารถูกปลูกฝังมาให้เป็นทหาร ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ไม่ได้ปลูกฝังมาให้หาผลประโยชน์จากประชาชน ดังนั้นจะต้องทำให้บ้านเมืองเกิดความปลอดภัย หากองค์กรทหารถูกให้ร้าย ตนอยากถามว่าความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มีมาเป็นร้อยปีต่อกองทัพมันอยู่ตรงไหน
“พอมีเรื่องเกิดขึ้นก็มาบอกว่า การแก้ปัญหาล้มเหลว จึงอยากถามว่า ที่ทำมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันล้มเหลวหมดเลยหรือไร แล้วที่ทหารตายไปเพราะความล้มเหลว หรือ ซึ่งมันไม่ใช่ ทุกคนต้องให้กำลังใจ ทหารเราทำเต็มที่แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเราต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้วย โดยการปรับรูปแบบการสู้รบให้รอบคอบและใครที่คิกว่าทำอะไรได้ดีกว่านี้ก็ขอให้มาบอก จะเป็นทหารเก่าหรือใครก็มาตนฟังความคิดเห็นทั้งหมด แต่อย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดในวันนี้ถูกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น สื่อ นักวิชาการ ถ้าพูดแล้วไม่รับผิดชอบอย่าพูด แต่ถ้าพูดแล้วต้องรับผิดชอบก็พูดมา ผมรับได้”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**ได้ตัวผู้ต้องสงสัย 18 ราย เหตุโจมตีฐานทหาร
ขณะที่กรณีเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มฐานปฎิบัติการทหาร กองร้อยทหารราบที่ 15121 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 38 บ้านมะรือโบตก หมู่ที่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย และบาดเจ็บจำนวนมาก
วันเดียวกันพ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน( กอ.รมน.)ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 23-24 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้สนธิกำลังทหาร ตำรวจ ร่วม 300 นาย ออกติดตามใช้กำลังตรวจค้น แลได้เชิญผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการรู้เห็นว่าการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลอบโจมตีฐานทหารที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งถือเป็นผู้ต้องสงสัยและอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลจำนวนทั้งสิ้น 18 ราย จากการผลการดำเนินการสอบถามซักถามได้ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว 1 ราย ส่งกลับบ้าน 2 ราย ยังคงควบคุมตัวไว้จำนวน 15 ราย
“เราวิเคราะห์สถานการณ์ต่อจากนี้ไป คาดว่าฝ่ายตรงข้ามมุ่งก่อปฏิบัติการทางทหารโดยตรงต่อกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ดังนั้นการคาดการว่าเหตุการณ์รายวันที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปในเวลานี้น่าจะเป็นส่วนตัว เป็นเรื่องความขัดแย้งด้านยาเสพติด อิทธิพลท้องถิ่น ขณะที่การกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมักจากกระทำต่อเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ประกอบกับในเดือนมี.ค. นี้จะมีการประชุมของ oic summic ที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับผู้นำสูงสุดของ กลุ่มประเทศอิสลาม ดังนั้น การก่อเหตุช่วงนี้คาดการณ์ว่าเป็นการยกระดับเพื่อให้เกิดความสนใจในการประชุม” พ.อ.บรรพต กล่าว
** มทภ.4 สั่งคุมเข้มหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
พ.อ.วชิรา บุญเอี่ยม หัวหน้าคณะทำงานรัฐวิสาหกิจ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ได้หารือกับนายธำรง สวัสดิ์พงศ์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สาขาสุไหงโก-ลก ในฐานะประธานชมรมรัฐวิสาหกิจและผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจรวมถึงกลุ่มสมาชิกชมรมรัฐวิสาหกิจ อ.สุไหงโก-ลก เพื่อให้ทราบถึงแนวทางในการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว ทั้งยังมีความชัดเจนเกี่ยวกับช่องทางการประสานงานเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยกำลังในพื้นที่ ทั้งนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 มีความห่วงใยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอาจกระทบกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นโครงข่ายของระบบสาธารณูปโภค จึงได้มอบหมายให้คณะทำงานรัฐวิสาหกิจ ลงพื้นที่เพื่อซักซ้อมความเข้าใจร่วมกันในยุทธวิธีของทหารและการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บริหารของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจใน อ.สุไหงโก-ลก ได้เรียกร้องให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ส่งข้อมูลการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ให้รับทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถประมวลผล และพิจารณาแนวทางการรักษาความปลอดภัยในระบบบริการสาธารณูปโภคในเบื้องต้น.
ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับภัยแทรกซ้อนเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินถือเป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนให้ความสนใจ การดูแลกระบวนการยุติธรรมในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่เหมาะสม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานในพื้นที่พิเศษที่มีการปฏิบัติการของฝ่ายที่ก่อเหตุรุนแรง แต่หากคนไม่ฟังกฎหมายและอ้างกฎหมาย เพื่อหาช่องว่างเพื่อทำให้เกิดความวุ่นวายจึงต้องมีกฎหมายพิเศษออกมา ถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มีการใช้กฎหมายพิเศษ การแก้ไขปัญหาได้ต้องเป็นคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ต้องมีการดูทุกอย่าง ต้องดูเจ้าหน้าที่ว่า ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีต้องเอาออกนอกพื้นที่ ประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและดูแลบ้านเมืองเพื่อความปลอดภัย ที่ผ่านมายอมรับว่า ได้ใช้งบประมาณไปจำนวนมาก แต่ทหารใช้ส่วนเดียว คือ ค่าเบี้ยเลี้ยง ส่วนงบประมาณด้านการจัดซื้อไม่เพียงพออยู่แล้ว ซึ่งอุปกรณ์ก็ยังซื้อไม่ครบ แต่มีการพูดว่าจัดซื้อแล้วเกิดการทุจริต ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
“จะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ เขาก็ต้องรักษาชีวิตเขา มีสื่อบางฉบับเขียนว่าใช้เงินมากมาย อยากถามกลับว่า ชีวิตคนเราป้องกันไว้ได้เท่าไร คนใต้อยู่ในพื้นที่ประมาณ 3 ล้านคน เราต้องดูแลคนบริสุทธ์ให้ได้มากที่สุด หรือไม่ต้องมีการสูญเสียเลย ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2547 มาถึงวันนี้กว่า 5 ปี อยากถามว่าเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นบ่มเพาะมากี่ปี และมีคนปลุกปั่นให้สถานการณ์รุนแรงมานานเท่าไร เขาสร้างคนมาและกล้าหยิบอาวุธสู้กับเจ้าหน้าที่ คิดว่า ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ฝึกวันสองวันแล้วมาสู้กับเจ้าหน้าที่ได้ แต่เขาใช้เวลานาน ดังนั้นทหารแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลาด้วยการสร้างความเข้าใจ เมื่อปี 2547 ทหารเข้าไปในพื้นที่ไม่ได้ประชาชนในพื้นที่ต่อต้าน แต่ทหารอดทน จนวันนี้ เขารู้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำร้ายประชาชน ซึ่งคนบริสุทธิ์ในภาคใต้ยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่หมดทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หลายคนบอกว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้ทำไมไม่ไปดูต่างประเทศ ทำไมเข้าแก้ปัญหาได้ เช่นในทวีปยุโรป อยากถามกลับไปว่าเขาแก้มากี่เป็น 10-20 ปี ซึ่งเขาแก้โดยใช้กฎหมายพิเศษ เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นทุกสื่อไม่สามารถจะถ่ายภาพได้จนกว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถเคลียร์พื้นที่ให้ได้เรียบร้อยถึงจะสามารถออกสื่อได้ กล้องซีซีทีวีเป็นหมื่นกล้อง ทุกอย่างมีกฎระเบียบหมด และบ้านเรากฎหมายสักฉบับใช้ได้หรือไม่ แทบจะใช้ไม่ได้ เพราะทุกคนต้องการสิทธิเสรีภาพ จะเคอร์ฟิวก็ไม่ได้ แต่ต่างชาติเขาใช้ได้หมด จะออกกฎออกระเบียบเขาสามารถคุมได้หมด และเขาสามารถแก้ปัญหาจนเสร็จเรียบร้อย แต่วันนี้เราทำอะไร แม้แต่เรื่องความลับเราก็อยากรู้ ไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนต้องการให้ลูกน้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ โดยเฉพาะประชาชน มาตรการการดูแลรักษาความปลอดภัยของ ผบ.ทบ.ที่ผ่านมาไม่เคยมีเจตนารมณ์ทำให้เกิดความรุนแรง เพราะถ้าทำอย่างนั้นแล้วไม่ใช่ทหาร ทหารถูกปลูกฝังมาให้เป็นทหาร ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ไม่ได้ปลูกฝังมาให้หาผลประโยชน์จากประชาชน ดังนั้นจะต้องทำให้บ้านเมืองเกิดความปลอดภัย หากองค์กรทหารถูกให้ร้าย ตนอยากถามว่าความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มีมาเป็นร้อยปีต่อกองทัพมันอยู่ตรงไหน
“พอมีเรื่องเกิดขึ้นก็มาบอกว่า การแก้ปัญหาล้มเหลว จึงอยากถามว่า ที่ทำมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันล้มเหลวหมดเลยหรือไร แล้วที่ทหารตายไปเพราะความล้มเหลว หรือ ซึ่งมันไม่ใช่ ทุกคนต้องให้กำลังใจ ทหารเราทำเต็มที่แล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเราต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้วย โดยการปรับรูปแบบการสู้รบให้รอบคอบและใครที่คิกว่าทำอะไรได้ดีกว่านี้ก็ขอให้มาบอก จะเป็นทหารเก่าหรือใครก็มาตนฟังความคิดเห็นทั้งหมด แต่อย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดในวันนี้ถูกทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น สื่อ นักวิชาการ ถ้าพูดแล้วไม่รับผิดชอบอย่าพูด แต่ถ้าพูดแล้วต้องรับผิดชอบก็พูดมา ผมรับได้”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**ได้ตัวผู้ต้องสงสัย 18 ราย เหตุโจมตีฐานทหาร
ขณะที่กรณีเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่มฐานปฎิบัติการทหาร กองร้อยทหารราบที่ 15121 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 38 บ้านมะรือโบตก หมู่ที่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย และบาดเจ็บจำนวนมาก
วันเดียวกันพ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน( กอ.รมน.)ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 23-24 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้สนธิกำลังทหาร ตำรวจ ร่วม 300 นาย ออกติดตามใช้กำลังตรวจค้น แลได้เชิญผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการรู้เห็นว่าการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลอบโจมตีฐานทหารที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งถือเป็นผู้ต้องสงสัยและอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลจำนวนทั้งสิ้น 18 ราย จากการผลการดำเนินการสอบถามซักถามได้ส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว 1 ราย ส่งกลับบ้าน 2 ราย ยังคงควบคุมตัวไว้จำนวน 15 ราย
“เราวิเคราะห์สถานการณ์ต่อจากนี้ไป คาดว่าฝ่ายตรงข้ามมุ่งก่อปฏิบัติการทางทหารโดยตรงต่อกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ดังนั้นการคาดการว่าเหตุการณ์รายวันที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปในเวลานี้น่าจะเป็นส่วนตัว เป็นเรื่องความขัดแย้งด้านยาเสพติด อิทธิพลท้องถิ่น ขณะที่การกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมักจากกระทำต่อเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ประกอบกับในเดือนมี.ค. นี้จะมีการประชุมของ oic summic ที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับผู้นำสูงสุดของ กลุ่มประเทศอิสลาม ดังนั้น การก่อเหตุช่วงนี้คาดการณ์ว่าเป็นการยกระดับเพื่อให้เกิดความสนใจในการประชุม” พ.อ.บรรพต กล่าว
** มทภ.4 สั่งคุมเข้มหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
พ.อ.วชิรา บุญเอี่ยม หัวหน้าคณะทำงานรัฐวิสาหกิจ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า ได้หารือกับนายธำรง สวัสดิ์พงศ์ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สาขาสุไหงโก-ลก ในฐานะประธานชมรมรัฐวิสาหกิจและผู้บริหารหน่วยงานรัฐวิสาหกิจรวมถึงกลุ่มสมาชิกชมรมรัฐวิสาหกิจ อ.สุไหงโก-ลก เพื่อให้ทราบถึงแนวทางในการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นแล้ว ทั้งยังมีความชัดเจนเกี่ยวกับช่องทางการประสานงานเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยกำลังในพื้นที่ ทั้งนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 มีความห่วงใยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งอาจกระทบกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นโครงข่ายของระบบสาธารณูปโภค จึงได้มอบหมายให้คณะทำงานรัฐวิสาหกิจ ลงพื้นที่เพื่อซักซ้อมความเข้าใจร่วมกันในยุทธวิธีของทหารและการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้บริหารของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจใน อ.สุไหงโก-ลก ได้เรียกร้องให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ส่งข้อมูลการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ให้รับทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถประมวลผล และพิจารณาแนวทางการรักษาความปลอดภัยในระบบบริการสาธารณูปโภคในเบื้องต้น.