นายโชติพัฒน์ พีชานนท์ ประธานกรรมการบริหารอาคเนย์ กลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน เปิดเผยว่า บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้(2554) ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นธุรกิจประกันภัยที่น่าจะมีรายได้จากเบี้ยประกันวินาศภัยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50% หรือ 3,500 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจประกันชีวิตน่าจะมีรายได้จากเบี้ยประกันชิวิตเพิ่มขึ้นอีก 70% หรือประมาณ 10,500 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 660 ล้านบาท
"เราตั้งใจให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยพลังที่สร้างสรรค์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาทำได้ตามเป้าคือการเข้าไปอยู่ในอันดับท็อปเทน ส่วนต่อจากนี้เรามีเป้าหมายในใจว่าจะแทรกเข้าไปอยู่ 1 ใน 5 ของธุรกิจประกัน ซึ่งในปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จและมีคู่ค้าที่เริ่มเข้ามามีบทบาทกับเรามากขึ้น และหลังจากนี้เราจะพยายามขยายความร่วมมือกับธนาคารหรือบริษัทในเครือเพิ่มมากขึ้นอีก แต่คงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะยังอยู่ระหว่างการเจรจา"
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยอาคเนย์ประกันภัยมีการเติบโตถึงร้อยละ 17 หรือคิดเป็นยอดขาย 2,470 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เติบโตเพียงร้อยละ 12 ส่วนธุรกิจอาคเนย์ประกันชีวิต เติบโตถึงร้อยละ 20 หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 6.7 พันล้านบาท ขณะที่อาคเนย์แคปปิตอล เติบโตที่ร้อยละ 28 หรือคิดเป็นยอดขาย 467 ล้านบาท
โดยการขยายตัวของธุรกิจประกันยังคงมากจากช่องทางหลักคือตัวแทนจำหน่าย ซึ่งในปี 53 ช่องทางตัวแทนมีเบี้ยประกันปีแรกเติบโตถึงร้อยละ 40 คิดเป็น 291 ล้านบาท จากจำนวนตัวแทนปัจจุบัน 2,250 รายและตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนใหม่อีก 30% หรือประมาณ 670 ราย
ส่วนกลยุทธ์การบริหารงานในปีนี้ นายโชติพัฒน์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 7 ด้านด้วยกันคือ 1.ให้ความสำคัญกับตัวแทน ซึ่งนับเป็นช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญของเรา 2.ประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ให้รับรู้ถึงการทำประกันเป็นเรื่องง่ายกับอาคเนย์ เหมือนในปีที่ผ่านมาที่บริษัททำความร่วมมือกับธนาคารทหารไทย และความร่วมมือกับห้างเทสโก้ โลตัส เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อประกันกับบริษัทได้ในห้างทันที
3.การให้บริการที่ครอบคลุมและครบวงจร ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการได้ครบทั้ง 3 ธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ 4.การดึงจุดแข้. และเพิ่มฐานลูกค้าจากบริษัทในเครือข่าย(ทีซีซี) และ 5. การพัฒนาระบบใหม่เพื่อรองรับการเติบโตแบบยั่งยืน โดยเฉพาะระบบไอทีที่จะต้องมีการพัฒนาให้รวดเร็ว และประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนด้านที่ 6. บริษัทจะทำการปรับโฉม สร้างแบรนด์ เพื่อมัดใจผู้บริโภค ด้วยการปรับรูปแบบให้ครอบคลุมลูกค้าใหม่โดยที่ยังใส่ใจกลุ่มลูกค้าเก่าแก่ควบคู่กันไปด้วย สุดท้าย 7.คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์
"เราตั้งใจให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยพลังที่สร้างสรรค์ ซึ่งในปีที่ผ่านมาทำได้ตามเป้าคือการเข้าไปอยู่ในอันดับท็อปเทน ส่วนต่อจากนี้เรามีเป้าหมายในใจว่าจะแทรกเข้าไปอยู่ 1 ใน 5 ของธุรกิจประกัน ซึ่งในปีที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จและมีคู่ค้าที่เริ่มเข้ามามีบทบาทกับเรามากขึ้น และหลังจากนี้เราจะพยายามขยายความร่วมมือกับธนาคารหรือบริษัทในเครือเพิ่มมากขึ้นอีก แต่คงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร เพราะยังอยู่ระหว่างการเจรจา"
ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยอาคเนย์ประกันภัยมีการเติบโตถึงร้อยละ 17 หรือคิดเป็นยอดขาย 2,470 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เติบโตเพียงร้อยละ 12 ส่วนธุรกิจอาคเนย์ประกันชีวิต เติบโตถึงร้อยละ 20 หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 6.7 พันล้านบาท ขณะที่อาคเนย์แคปปิตอล เติบโตที่ร้อยละ 28 หรือคิดเป็นยอดขาย 467 ล้านบาท
โดยการขยายตัวของธุรกิจประกันยังคงมากจากช่องทางหลักคือตัวแทนจำหน่าย ซึ่งในปี 53 ช่องทางตัวแทนมีเบี้ยประกันปีแรกเติบโตถึงร้อยละ 40 คิดเป็น 291 ล้านบาท จากจำนวนตัวแทนปัจจุบัน 2,250 รายและตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนใหม่อีก 30% หรือประมาณ 670 ราย
ส่วนกลยุทธ์การบริหารงานในปีนี้ นายโชติพัฒน์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 7 ด้านด้วยกันคือ 1.ให้ความสำคัญกับตัวแทน ซึ่งนับเป็นช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญของเรา 2.ประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ให้รับรู้ถึงการทำประกันเป็นเรื่องง่ายกับอาคเนย์ เหมือนในปีที่ผ่านมาที่บริษัททำความร่วมมือกับธนาคารทหารไทย และความร่วมมือกับห้างเทสโก้ โลตัส เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อประกันกับบริษัทได้ในห้างทันที
3.การให้บริการที่ครอบคลุมและครบวงจร ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการได้ครบทั้ง 3 ธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ 4.การดึงจุดแข้. และเพิ่มฐานลูกค้าจากบริษัทในเครือข่าย(ทีซีซี) และ 5. การพัฒนาระบบใหม่เพื่อรองรับการเติบโตแบบยั่งยืน โดยเฉพาะระบบไอทีที่จะต้องมีการพัฒนาให้รวดเร็ว และประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนด้านที่ 6. บริษัทจะทำการปรับโฉม สร้างแบรนด์ เพื่อมัดใจผู้บริโภค ด้วยการปรับรูปแบบให้ครอบคลุมลูกค้าใหม่โดยที่ยังใส่ใจกลุ่มลูกค้าเก่าแก่ควบคู่กันไปด้วย สุดท้าย 7.คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์