xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นรูด42จุดตปท.โยกเงินหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยรูดหนัก42จุด หลุดฐานสำคัญ 1,000 จุดแล้ว อภิสิทธิ์ -กรณ์-แบงก์ชาติ โยนปัจจัยต่างประเทศสาเหตุทำให้ต่างชาติเทขาย มั่นใจไม่ใช่ปัญหาการเมือง “จรัมพร”ชี้เป็นช่วงปรับลงทุนหลังค่าเงินบาทอ่อน ภาพรวมต่างชาติขายแล้ว2.9หมื่นล้าน โบรกฯมองเม็ดเงินไหลออกกลับสหรัฐฯ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น แนะติดตามนโยบายดอกเบี้ยประเทศต่างๆ หลังเงินเฟ้อขยายตัว ส่วนวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24ม.ค.) ดัชนียังปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน และปรับตัวลงแรงมากจนหลุดฐานสำคัญที่ 1,000 จุด โดยปิดที่ 963.68 จุด ลดลง 42.89 จุด หรือ -4.26% มูลค่าการซื้อขาย 37,402.09 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 999.59 จุด และต่ำสุดที่ 963.68 จุด โดยการซื้อขายสุทธิจากตามประเภานักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 4,053.01 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 2,575.02 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 44.29 ล้านบาท
ขณะทีการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนปิดลบ 19.57 จุด หรือ 0.72% ปิดที่ 2,695.72 จุด ส่วนดัชนีหุ้นเสิ่นเจิ้นร่วง 151.04 จุด หรือ 1.30% ปิดที่ 11,488.92 จุด ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดลบ 75.08 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 23,801.78 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 ม.ค.)ปรับตัวลดลงแรงเนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติจากมองว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่มีทิศทางที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงขายทำกำไรออกมาจากที่ผ่านมามีกำไรจากหุ้นและค่าเงิน (ดอลลาร์เทอม)ไปแล้ว 50% เพราะ ดัชนีตลาดหุ้นไทยผ่านที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดไปแล้ว และ ค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าถึงจุดสุงสุดไปแล้วเช่นกัน
“ค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงมาก ซึ่งปรับตัวลดลง 1% มาอยู่ที่ 30.89 บาทต่อดอลลาร์ โดยอ่อนค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยเชื่อว่าการขายนักลงทุนต่างประเทศต่างจะเป็นแรงขายระยะสั้นเพื่อเป็นการปรับพอร์ตการลงทุน ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างประเทศขายสุทธิแล้ว 29,289 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการขายระยะสั้นที่สูงมากแล้วแต่ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจะออกมาต่ออีกหรือไม่”

***"กรณ์-ธปท."ปัดไม่เกี่ยวปัจจัยในประเทศ
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดจนต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด เป็นแรงขายทำกำไรตามปกติ หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นสถานการณ์ตามปกติ อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นประเด็นทางการเมืองมองว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นติดลบไม่น่าจะเกี่ยวกับประเด็นพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย ดังนั้นการเปิดเผยตัวเลขสำคัญเศรษฐกิจไทยและมุมมองการประเมินเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่ ธปท.ประกาศเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงไม่มีผลใดๆ
ด้านนายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากประเด็นที่ ธปท.ประกาศให้จับตามองเรื่องการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้า การเคลื่อนย้ายเงินทุนและอัตราแลกเปลี่ยน การไหลออกของเงินทุนในตลาดหุ้นในขณะนี้จึงเป็นเพียงช่องทางหนึ่ง ไม่สามารถนำมาสรุปได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงน่าจะมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย แต่ไม่ขอวิเคราะห์ว่าปัจจัยส่วนหนึ่งจะมาจากความกังวลการชุมนุมทางการเมืองที่จะมีขึ้นในวันนี้(25ม.ค.)หรือไม่

**ภาพรวมโบรกฯเชื่อเม็ดเงินโยกกลับ
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซียไซรัส ให้ความเห็นว่า การที่ดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,010 จุด นั้นมีความสำคัญมาในด้านจิตวิทยาของนักลงทุน ซึ่งทำให้ส่วนหนึ่งเทขายหุ้นออกมาจากความกังวลที่หุ้นอาจปรับตัวลงต่อ อีกทั้งช่วงนี้อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศปรับตัวขึ้น จึงมีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าการประชุมของธนาคารกลางในหลายประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปัจจัยเหล่านี้จึงกดดันให้แรงข่ายออกมามากโดยเฉพาะประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่หุ้นปรับตัวสูงมาก ทั้งนี้แนะนักลงทุนเมื่อดัชนีแตะ 960 จุด หากจะเข้าลงทุนควรทยอยเข้าซื้อ และติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย Outperform มาตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งนี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นักลงต่างชาติเทขายทิ้งหุ้นไทยเพื่อทำกำไรบ้าง มองว่านี่เป็นการปรับพอร์ตของนักลงทุน หลังตั้งแต่เริ่มปี2554 มาดัชนีหุ้นไทยยังแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยช่วงนี้มองว่าเม็ดเงินบางส่วนเริ่มไหลออกจากตลาดประเทศที่กำลังพัฒนา
“ก่อนหน้านี้ เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามากว่า 35,000 ล้านบาท และตอนนี้ก็ขายออกไปแล้วกว่า25,000 ล้านบาท แต่ยังมีเหลืออยู่ประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ที่ยังพอมีโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกไปได้อีก แต่เชื่อว่ายังเป็นแค่การปรับพอร์ต ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองเรื่องของการชุมนุม มองว่าไม่น่าจะมีผลต่อดัชนีมากเท่าไร ซึ่งทิศทางจากนี้ถ้าดัชนีลดลงไปถึง 950 จุด ก็ควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุน”
นายสุกิจ อุดมสิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ลูกค้าบุคคล และสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงแรงสุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เป็นผลจากนักลงทุนต่างชาติขายออกมามาก และเมื่อดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญที่ 980 จุด ก็ทำให้เกิด panic ขายออกมาอีก ขณะเดียวกันก็มีความวิตกว่าตัวเลขเงินเฟ้อในภูมิภาคแถบนี้จะปรับตัวขึ้นสูงด้วย ทำให้นักลงทุนต่างชาติวิตกและขายหุ้นออกมาก่อน
อย่างไรก็ดี เม็ดเงินที่ไหลออกไปมองว่าน่าจะมี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งไหลเข้าไปลงทุนในแถบเอเชียเหนือ อย่างตลาดไต้หวัน, ตลาดเกาหลี เป็นต้น อีกส่วนก็คงจะไหลออกไปจากภูมิภาคเอเชีย โดยการโยกเงินกลับเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ภายหลังจากเริ่มเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีการฟื้นตัวขึ้น และตลาดหุ้นในสหรัฐฯก็ฟื้นด้วย ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(25 ม.ค.) หลังจากที่ตลาดฯได้ปรับตัวลงไปมากแล้ว ก็มีโอกาสที่จะรีบาวน์ขึ้นได้บ้าง พร้อมให้แนวรับ 950 จุด แนวต้าน 980 จุด
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า เป็นการโยกย้ายเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติกลับไปที่เดิม เนื่องจากที่ผ่านมาหุ้นไทยก็ได้มีการปรับตัวขึ้นมากแล้ว ขณะเดียวกัน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐก็มีการปรับตัวดีขึ้น และค่าเงินสหรัฐก็เริ่มแข็งค่าขึ้น เม็ดเงินลงทุนจึงไหลกลับไปลงทุนที่สหรัฐฯมากขึ้น ซึ่งแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ขายแต่เฉพาะตลาดหุ้นไทย ต่างชาติยังขายหุ้นในตลาดอื่นด้วย อย่างตลาดหุ้นอินโดนีเซีย, ตลาดฟิลิปปินส์ เป็นต้น

**กองทุนเชื่อดัชนีไม่หลุด950จุด
นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงของการปรับฐาน แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันเชื่อว่าดัชนีจะไม่หลุด 950 จุด ส่วนเป้าสิ้นปีนี้มองไว้ที่ 1,200 จุด หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% จากปีก่อน ภายใต้การขยายตัวของเศรษฐกิจ 4-5% และการการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน 10-15%
กำลังโหลดความคิดเห็น