เราขอบอกความจริง ประเทศไทยเรา ผู้ปกครองมีแต่ประสบการณ์การปกครองเผด็จการ เป็นเผด็จการคือไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมและอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว โดยมีอยู่ 2 รูปแบบ 2 ลักษณะ คือ เผด็จการรัฐประหารและเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา (รูปการปกครอง) วันเวลาเวลาล่วงเลยไป 78 กว่าปี ยังไม่มีผู้มีคุณธรรมท่านใด สามารถทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนเป็นรูปธรรมได้สำเร็จ
เหตุที่มาแห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชนเกิดจากการตั้งรัฐชาติหรือสถาปนารัฐชาติ (Nation State) และการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีรูปแบบการปกครองแบบต่างๆ เช่น ระบบรัฐสภา (อังกฤษ, ญี่ปุ่น) ระบบประธานาธิบดี (สหรัฐอเมริกา) และแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี (ฝรั่งเศส) เป็นต้น ส่วนไทยเราผู้ปกครองยังคงรักษาระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะความไม่รู้วิธีสร้างการเมืองที่ถูกต้องและหลับหูหลับตาหลงเชื่อยึดติดตามๆ กันมาอย่างดักดานแบบไม่มีสมอง
การตั้งรัฐชาติ (Nation State) คือภารกิจในการเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่เคยเป็นของพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวมาเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็ง ทำให้ประชาชนทุกคนมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศ โดยมีเหตุผลรองรับโดยธรรม คือ “อำนาจบ้าน เป็นของเจ้าของบ้าน อำนาจประเทศ จะต้องเป็นของเจ้าของประเทศ” อำนาจประเทศ ซึ่งก็คืออำนาจอธิปไตยของปวงชน นั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากเดิมเป็น 12 กระทรวง เป็นพระราชภารกิจในการขยายอำนาจอธิปไตยของพระองค์ไปสู่ปวงชนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศรอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นของประเทศล่าอาณานิคมในยุคนั้นมาได้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมอบอำนาจสิทธิขาดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชน เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้มีความสำนึกในความเป็นชนชาติที่ถูกต้อง สมดังพระราชหัตถเลขา ความตอนหนึ่งว่า…ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้า ให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันเท็จจริงของประชาราษฎร... นับแต่พระราชปณิธาน เป็นต้นมา รูปธรรมอำนาจอธิปไตยของปวงชน หาได้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงตั้งปณิธานไว้ไม่
สภาพการณ์ที่แท้จริง อำนาจอธิปไตยของปวงชน ได้ถูกบิดเบือนกลายเป็นอำนาจอธิปไตยของคนบางกลุ่ม หรือของคนกลุ่มน้อย มิได้เป็นของปวงชนที่แท้จริง ย่อมเกิดผลกระทบต่อเหตุปัจจัยภายในทั่วทั้งแผ่นดิน และต่อเหตุภายนอกระหว่างประเทศมาตลอด
ประเทศที่อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในทางการเมือง ไม่มีความเสมอภาคทางโอกาส ไม่ได้ถือหลักนิติธรรม ฯลฯ มีเพียงรูปการปกครองคือระบบรัฐสภาและวิธีการปกครอง คือ รัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) และมีการเลือกตั้งแบบเผด็จการบังหน้าเพื่อหลอกประชาชน และเป็นการเลือกตั้งจากระบอบการเมืองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของชนบางกลุ่ม จึงได้ชื่อว่าระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา มันจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของปวงชนในประเทศได้
ยืนยันข้อเท็จจริงในอดีตที่ผ่านมา เราเสียทีให้แก่ประเทศกัมพูชา กรณีเขาพระวิหาร เราเสียทีให้กับฝรั่งเศส กรณีจังหวัดพิบูลสงคราม และจังหวัดพระตะบองไปให้กัมพูชา และจังหวัดลายช้าง จังหวัดนครจำปาศักดิ์ไปให้ลาวและเสียเปรียบลาวในกรณีพิพาทกับลาวเสมอมา เราเสียเปรียบประเทศมาเลเซียในข้อตกลงเรื่องเขตแดน เราเสียเปรียบประเทศพม่าจากการกระทบกระทั่งกันเสมอมา โดยเฉพาะกลุ่มชนในพม่าผลิตยาบ้ามาถล่มเมืองไทย เพราะรู้ว่าเมืองไทยอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยและเป็นเผด็จการ ประเทศไทยย่อมอ่อนแอเสมอไป แต่นักการเมืองพันธุ์เขลาหาได้สำนึกไม่
เราขอย้ำว่า...อำนาจอธิปไตยของปวงชน เป็นสำคัญยิ่งใหญ่ อันเป็นปัจจัยหนึ่งอันเป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติไทยเรา อำนาจอธิปไตยของปวงชนที่เป็นรูปธรรมสำหรับประเทศไทยแล้วเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ เป็นเรื่องที่นักคิดในฝ่ายต่างๆ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ผู้ปกครอง นักการเมือง นักเคลื่อนไหว ในระบอบการเมืองเผด็จการปัจจุบัน ไม่ให้ความสนใจและไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจเอาเสียเลย ที่พูดอย่างนี้ เราต่างเห็นความผิดพลาดมาแล้วอย่างซ้ำซาก นับร่วม 78 ปี นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยคณะราษฎรถือลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ และสืบทอดตามๆ กันมาอย่างโง่งมงาย นี่คือความจริงที่พิสูจน์มาแล้วทุกรัฐบาลรวมทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีอำนาจ แต่ไม่มีประสบการณ์ จึงไม่ต่างกับรัฐบาลที่ผ่านๆ มา
ก็ดูซิ เห็นกันชัดๆ ขอให้ท่านผู้อ่านมีปัญญารู้อย่างถูกต้องว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ปกครองคนส่วนน้อยมิได้เป็นของปวงชนอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ชนในชาติย่อมอ่อนแอ และเป็นเหตุปัจจัยให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ ซึ่งพิสูจน์ได้อีกวาระหนึ่งสำหรับคนไทยที่ถูกทหารเขมรจับในเขตไทย และยัดข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายและจารกรรมความลับทางทหาร ถามว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ (มะม่วงบ่ม) รู้อะไรไหม
เหตุที่มาแห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชนเกิดจากการตั้งรัฐชาติหรือสถาปนารัฐชาติ (Nation State) และการสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีรูปแบบการปกครองแบบต่างๆ เช่น ระบบรัฐสภา (อังกฤษ, ญี่ปุ่น) ระบบประธานาธิบดี (สหรัฐอเมริกา) และแบบระบบกึ่งประธานาธิบดี (ฝรั่งเศส) เป็นต้น ส่วนไทยเราผู้ปกครองยังคงรักษาระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะความไม่รู้วิธีสร้างการเมืองที่ถูกต้องและหลับหูหลับตาหลงเชื่อยึดติดตามๆ กันมาอย่างดักดานแบบไม่มีสมอง
การตั้งรัฐชาติ (Nation State) คือภารกิจในการเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่เคยเป็นของพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวมาเป็นอำนาจอธิปไตยของปวงชน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็ง ทำให้ประชาชนทุกคนมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศ โดยมีเหตุผลรองรับโดยธรรม คือ “อำนาจบ้าน เป็นของเจ้าของบ้าน อำนาจประเทศ จะต้องเป็นของเจ้าของประเทศ” อำนาจประเทศ ซึ่งก็คืออำนาจอธิปไตยของปวงชน นั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากเดิมเป็น 12 กระทรวง เป็นพระราชภารกิจในการขยายอำนาจอธิปไตยของพระองค์ไปสู่ปวงชนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นปัจจัยที่ทำให้ประเทศรอดพ้นการเป็นเมืองขึ้นของประเทศล่าอาณานิคมในยุคนั้นมาได้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมอบอำนาจสิทธิขาดในการปกครองประเทศเป็นของปวงชน เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้มีความสำนึกในความเป็นชนชาติที่ถูกต้อง สมดังพระราชหัตถเลขา ความตอนหนึ่งว่า…ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้า ให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันเท็จจริงของประชาราษฎร... นับแต่พระราชปณิธาน เป็นต้นมา รูปธรรมอำนาจอธิปไตยของปวงชน หาได้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงตั้งปณิธานไว้ไม่
สภาพการณ์ที่แท้จริง อำนาจอธิปไตยของปวงชน ได้ถูกบิดเบือนกลายเป็นอำนาจอธิปไตยของคนบางกลุ่ม หรือของคนกลุ่มน้อย มิได้เป็นของปวงชนที่แท้จริง ย่อมเกิดผลกระทบต่อเหตุปัจจัยภายในทั่วทั้งแผ่นดิน และต่อเหตุภายนอกระหว่างประเทศมาตลอด
ประเทศที่อำนาจอธิปไตยเป็นของชนส่วนน้อย ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในทางการเมือง ไม่มีความเสมอภาคทางโอกาส ไม่ได้ถือหลักนิติธรรม ฯลฯ มีเพียงรูปการปกครองคือระบบรัฐสภาและวิธีการปกครอง คือ รัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) และมีการเลือกตั้งแบบเผด็จการบังหน้าเพื่อหลอกประชาชน และเป็นการเลือกตั้งจากระบอบการเมืองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของชนบางกลุ่ม จึงได้ชื่อว่าระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา มันจึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของปวงชนในประเทศได้
ยืนยันข้อเท็จจริงในอดีตที่ผ่านมา เราเสียทีให้แก่ประเทศกัมพูชา กรณีเขาพระวิหาร เราเสียทีให้กับฝรั่งเศส กรณีจังหวัดพิบูลสงคราม และจังหวัดพระตะบองไปให้กัมพูชา และจังหวัดลายช้าง จังหวัดนครจำปาศักดิ์ไปให้ลาวและเสียเปรียบลาวในกรณีพิพาทกับลาวเสมอมา เราเสียเปรียบประเทศมาเลเซียในข้อตกลงเรื่องเขตแดน เราเสียเปรียบประเทศพม่าจากการกระทบกระทั่งกันเสมอมา โดยเฉพาะกลุ่มชนในพม่าผลิตยาบ้ามาถล่มเมืองไทย เพราะรู้ว่าเมืองไทยอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยและเป็นเผด็จการ ประเทศไทยย่อมอ่อนแอเสมอไป แต่นักการเมืองพันธุ์เขลาหาได้สำนึกไม่
เราขอย้ำว่า...อำนาจอธิปไตยของปวงชน เป็นสำคัญยิ่งใหญ่ อันเป็นปัจจัยหนึ่งอันเป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติไทยเรา อำนาจอธิปไตยของปวงชนที่เป็นรูปธรรมสำหรับประเทศไทยแล้วเป็นเรื่องยากแสนเข็ญ เป็นเรื่องที่นักคิดในฝ่ายต่างๆ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ผู้ปกครอง นักการเมือง นักเคลื่อนไหว ในระบอบการเมืองเผด็จการปัจจุบัน ไม่ให้ความสนใจและไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจเอาเสียเลย ที่พูดอย่างนี้ เราต่างเห็นความผิดพลาดมาแล้วอย่างซ้ำซาก นับร่วม 78 ปี นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยคณะราษฎรถือลัทธิรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ และสืบทอดตามๆ กันมาอย่างโง่งมงาย นี่คือความจริงที่พิสูจน์มาแล้วทุกรัฐบาลรวมทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ มีอำนาจ แต่ไม่มีประสบการณ์ จึงไม่ต่างกับรัฐบาลที่ผ่านๆ มา
ก็ดูซิ เห็นกันชัดๆ ขอให้ท่านผู้อ่านมีปัญญารู้อย่างถูกต้องว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของผู้ปกครองคนส่วนน้อยมิได้เป็นของปวงชนอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ชนในชาติย่อมอ่อนแอ และเป็นเหตุปัจจัยให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ ซึ่งพิสูจน์ได้อีกวาระหนึ่งสำหรับคนไทยที่ถูกทหารเขมรจับในเขตไทย และยัดข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายและจารกรรมความลับทางทหาร ถามว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ (มะม่วงบ่ม) รู้อะไรไหม