ASTVผู้จัดการรายวัน - “เขมร” เมิน “มาร์ค” สั่งทำลายป้ายเถื่อน ที่กองทัพเขมรทำขึ้น เพื่อประณามทหารไทย อ้างเป็นผู้รุกรานรุกล้ำดินแดนหลังวัดแก้วสิกขาฯ ผบ.เขมรลั่นรอคำสั่งจาก “คุณพ่อฮุนเซน” คนเดียว พิลึก ผบ.สส.บินทอดผ้าป่าเขมรเฉย! ด้าน "มาร์ค" อัดเทปออกทีวี ตะกุกตะกักอ้างคดี 7 คนไทย ไม่เกี่ยวเขตแดน เอาดีใส่ตัว ห่วงพี่น้องชายแดน
วานนี้ (23ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า มีหนังสือพิมพ์และสื่อบางฉบับเสนอข่าวกรณีทหารกัมพูชาสลักข้อความบนก้อนหินใหญ่ และทำป้ายข้อความที่ปราสาทเขาพระวิหาร กล่าวหาทหารไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชาว่า ได้สั่งการให้ทางกองทัพรื้อป้ายดังกล่าวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ทหารไทยได้มีการถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวารา เชิงปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งแต่เมื่อ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ทหารกัมพูชาได้สลักข้อความบนก้อนหินใหญ่ และทำป้ายสลักข้อความฉาบด้วยสีทองเป็นภาษากัมพูชา ที่หน้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาราและทางขึ้น ประณามคนไทยและทหารไทยว่าเป็น “ผู้รุกราน ผู้รุกล้ำดินแดนเขมร”
การสลักและติดป้ายดังกล่าวเป็นการอ้างถึง พล.ท.กนก เนตรคเวสนะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (ผบ.พล.ร.6) ว่า เป็นผู้นำทหารไทย 20 คน บุกขึ้นไปอยู่บนวัดแก้วฯ เมื่อ 15 ก.ค.51 จากนั้นนำกำลังทหารจำนวนมากมาวางกำลังโดยรอบ ถือเป็นการรุกรานเพราะเป็นผืนแผ่นดินกัมพูชา
** “ทหารเขมร” เมินทำลายป้าย
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ถึงเรื่องนี้ว่า ล่าสุด พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาระบุว่าได้ประสานให้ทางฝ่ายกัมพูชารื้อถอนป้ายดังกล่าวออก หลังจากนายอภิสิทธิ์ อ้างว่าได้สั่งการให้ทหารไทยไปทำการรื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไป
ล่าสุดแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ออกมาเปิดเผยว่า จนขณะนี้ทางฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้ทำลายรื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าป้ายดังกล่าวนี้จะถูกสร้างขึ้นหลังจากที่มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา เรื่องการถอนกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเดิมทีมีกำลังของแต่ละฝ่ายอยู่ในวัดประมาณ 1 กองร้อย แต่เนื่องจากรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นว่าการวางกำลังจำนวนมากอยู่ในลักษณะเผชิญหน้ากันเช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากเกินไป จึงตกลงร่วมกันว่าให้ปรับลดกำลังทหารลงเหลือฝ่ายละ 10 นายเท่านั้น โดยให้ใส่ชุดเครื่องแบบทหารและติดอาวุธประจำกายเข้าประจำอยู่ในวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และทำหน้าที่ชุดประสานงานข่าว และรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 ที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลทั้งสองประเทศเห็นว่าเหตุการณ์บนชายแดนเขาพระวิหารเป็นปกติแล้ว จึงได้มีข้อตกลงกันใหม่ว่าจะลดกำลังทหารลงเหลือฝ่าย 5 นาย โดยให้สวมชุดเครื่องแบบทหารแต่ไม่มีการติดอาวุธประจำกายเพื่อลดความตึงเครียดลงอีก แต่หลังวันที่ 1 ธ.ค.53 ทางกัมพูชากลับประโคมข่าวว่า ทหารไทยได้ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระไปหมดแล้ว และประกาศว่าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระอยู่เหนือแดนของกัมพูชา และคาดว่าป้าย “ผู้รุกรานรุกล้ำดินแดนเขมร”จะถูกสร้างขึ้นหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยทางฝ่ายกองทัพไทยได้มีการทำหนังสือประท้วงให้ทำลายป้ายนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ทางกัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม จนเกิดเป็นข่าวขึ้นมาในปัจจุบัน
**ผบ.เขมรรอ “ฮุนเซน” เท่านั้น
ขณะที่ พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ออกมายอมรับว่ารู้สึกลำบากใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และบอกว่าเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน ซึ่งการทำลายป้ายดังกล่าวก็ต้องได้รับคำสั่งจาก สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพียงคนเดียวเท่านั้น
** “คุณพ่อฮุนเซน” ซ่า เย้ยซ้ำ!
วันเดียวกันสื่อกัมพูชาตีข่าวคำให้สัมภาษณ์ของ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาโดยระบุว่า การที่มีคำสั่งให้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เขาพระวิหารไปอยู่พื้นราบบริเวณบ้านโกมุย ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนอยู่ติดเขาพระวิหารฝั่งกัมพูชานั้นได้ดำเนินการตามเงื่อนไขของยูเนสโก้ กรณีว่าหากจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จะต้องไม่มีคนอาศัยอยู่บริเวณรอบปราสาทเป็นอันขาด โดยย้ำว่าการอพยพชาวบ้านดังกล่าวไม่เกี่ยวกับเรื่องพื้นที่พิพาทชายแดนไทย - กัมพูชาแต่อย่างใด
**ผบ.สส.บินทอดผ้าป่าเขมร
รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 24 ม.ค.นี้ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พร้อมด้วยคณะนายทหารผู้ใหญ่จากกองบัญชาการกองทัพไทยและคณะสื่อมวลชนไทยจะเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อทอดผ้าป่าร่วมกับคณะ พล.อ.โปล ซาเรียน ผบ.สส. กับคณะนายทหารกัมพูชา ที่วัดจันทบุรีวงศ์ กรุงพนมเปญ
**“มาร์ค” อ้างสั่งตั้งแต่ 19 ม.ค.แล้ว
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อีกว่า ได้สั่งการไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ยืนยันว่า จะดำเนินการให้มีการรื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไป คาดว่า จะไม่มีปัญหาอะไร โดยผบ.ทบ.ได้รายงานด้วยว่า ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีลักษณะแบบนี้ ซึ่งพล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่2ยืนยันว่า จะดำเนินการ
“ได้ประสานตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม และเช้าวันที่ 23 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ รายงานกลับมาว่าดำเนินการได้แล้ว และทั้งหมดนี้เราจะใช้ในการไปบอกคณะกรรมการมรดกโลกให้เห็นชัดเจนว่า นี่คือปัญหาทำไมเขาถึงเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ไม่ได้เด็ดขาด เพราะยังมีความขัดแย้งกันอยู่สูง”นายกฯกล่าว
** 7 คนไทยผิดเข้าเมืองไม่ใช่เรื่องดินแดน
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปฏิเสธว่า รัฐบาลยอมเสียดินแดนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของกัมพูชา แต่ยอมรับว่า หนึ่งในสิ่งที่จะต้องมีการชี้แจงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของดินแดน เพราะเป็นเรื่องของความผิดบุคคล ซึ่งปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่มีคนสนใจ เป็นเรื่องที่ต้องมีการแก้ไข และรัฐบาลยังยืนยันว่าเอ็มโอยู 2543 ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และการตัดสินของศาลกัมพูชา เป็นการพิจารณาเรื่องการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องดินแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯได้เดินทางเข้าบ้านพิษณุโลก เพื่อเตรียมความพร้อมในการที่จะแถลงจุดยืนต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย - กัมพูชา และกรณี 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุม ที่จะออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เวลา 20.30น .
**มาร์คอัดเทป แจงผ่านทีวีช่อง 11
เวลา 20.30 น. นายอภิสิทธิ์ ได้ออกรายการพิเศษเพื่อชี้แจงกรณีคนไทย 7 คนถูกจับ มีความยาว 35 นาที โดยนำเทคนิคการซ้อนภาพเพื่อแสดงแผนที่เขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณที่เป็นปัญหาระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 บริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และยังมีการนำคลิปวีดีโอที่คณะคนไทยถ่ายไว้ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ตั้งแต่ต้นจนจบมาฉายคู่กันไปด้วย เพื่อแสดงให้เห็นเส้นทางการเดินเท้าของคณะคนไทย ตั้งแต่ลงจากรถที่ถนนศรีเพ็ญจนสิ้นสุดเมื่อทหารกัมพูชาเข้ามาจับกุมตัวคณะคนไทยดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553
นายอภิสิทธิ์เริ่มต้นชี้แจงโดยกล่าวถึงสาเหตุที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวใน จ.สระแก้ว ว่า เนื่องจากมีประชาชนในพื้นที่มาร้องเรียนว่าเข้าไปทำกินในที่ดินของตนเองไม่ได้ 1 วันก่อนจะไปนายพนิชยังได้โทรศัพท์มาหาตนเพื่อขอให้ประสานกับตำรวจตระเวณชายแดน (ตชด.) ระหว่างการลงพื้นที่ แต่ตนมาทราบข่าวอีกทีเมื่อคณะของนายพนิชถูกจับกุมตัวแล้วในช่วงสายของวันที่ 29 ธ.ค. โดยเมื่อตรวจสอบย้อนหลัง ก็พบว่าประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ได้มาร้องเรียนให้รัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหานับสิบปีแล้วจริงๆ
หลังทราบว่าคณะคนไทยถูกจับ รัฐบาลได้พยายามเจรจาเพื่อไม่ให้นำตัวขึ้นสู่ศาล แต่ทางกัมพูชาอ้างว่าคนไทยทั้ง 7 ได้ถูกจับกุมหน้าวัดโจ๊กเจียซึ่งอยู่ในเขตกัมพูชา จึงไม่สามารถส่งตัวคนไทยทั้ง 7 กลับได้ ในวันที่ 31 ธ.ค.2553 จึงมีการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปวัดพิกัด ทั้งที่เป็นจุดสิ้นสุดในวีดีโอ กับจุดที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง ซึ่งปรากฏว่าทั้ง 2 จุดอยู่ในพื้นที่ซึ่งเรื่องเขตแดนยังไม่ชัดเจน มีเพียงเส้นปะที่เป็นเส้นแนวปฏิบัติเท่านั้น จึงยืนยันไปว่าคณะคนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำดินแดนหรือทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ รัฐบาลก็ไม่เคยบอกว่าคนไทยทั้ง 7 คนรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา
**แย้งเขมรคำตัดสินไม่เกี่ยวเขตแดน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับข้อสงสัยว่าเมื่อศาลกัมพูชาตัดสินว่าคนไทย 5 คนมีความผิดจริง เท่ากับยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนกัมพูชาหรือไม่ ความจริงแล้ว การตัดสินของศาลไม่ว่าในประเทศใด ย่อมไม่สามารถบ่งชี้ถึงเรื่องเขตแดนได้ และเมื่อศาลกัมพูชาตัดสินแล้ว เมื่อมีการแปลคำพิพากษา ไทยก็จะทำหนังสือโต้แย้งไปว่า ผลการตัดสินคดีดังกล่าว ไม่มีผลต่อการชี้ขาดเรื่องเขตแดนใดๆทั้งสิ้น เพราะเรื่องดังกล่าวจะต้องว่าไปตามกระบวนการของคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ที่ตั้งขึ้นมาตามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา หรือเอ็มโอยูเมื่อปี พ.ศ.2543 เท่านั้น
“หลายคนบอกว่าให้ยกเลิกเอ็มโอยูปี 2543 แต่ผมบอกว่า ถ้ายกเลิกชุมชนที่ล้ำแดนเข้ามา ก็จะอ้างได้ว่าอยู่มากว่า 30 ปีแล้ว ฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชา ก็จะอ้างสิทธิ โดยยกแผนที่คนละฉบับ ไทยก็จะอ้างแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็จะอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เมื่อตกลงกันไม่ได้ เพราะไม่มีข้อตกลงทางกฎหมายเหลืออยู่แล้ว จะเหลือวิธีเดียว คือใช้กำลังเข้าผลักไสกัน เผชิญหน้ากัน ท้ายสุดไม่ว่าคนไทยหรือคนกัมพูชา ก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข เนื่องจากปัญหาลักษณะนี้ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีไม่ต่ำกว่า 10 จุดด้วยกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว.
วานนี้ (23ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า มีหนังสือพิมพ์และสื่อบางฉบับเสนอข่าวกรณีทหารกัมพูชาสลักข้อความบนก้อนหินใหญ่ และทำป้ายข้อความที่ปราสาทเขาพระวิหาร กล่าวหาทหารไทยรุกล้ำดินแดนของกัมพูชาว่า ได้สั่งการให้ทางกองทัพรื้อป้ายดังกล่าวแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ทหารไทยได้มีการถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวารา เชิงปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งแต่เมื่อ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่ทหารกัมพูชาได้สลักข้อความบนก้อนหินใหญ่ และทำป้ายสลักข้อความฉาบด้วยสีทองเป็นภาษากัมพูชา ที่หน้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาราและทางขึ้น ประณามคนไทยและทหารไทยว่าเป็น “ผู้รุกราน ผู้รุกล้ำดินแดนเขมร”
การสลักและติดป้ายดังกล่าวเป็นการอ้างถึง พล.ท.กนก เนตรคเวสนะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 (ผบ.พล.ร.6) ว่า เป็นผู้นำทหารไทย 20 คน บุกขึ้นไปอยู่บนวัดแก้วฯ เมื่อ 15 ก.ค.51 จากนั้นนำกำลังทหารจำนวนมากมาวางกำลังโดยรอบ ถือเป็นการรุกรานเพราะเป็นผืนแผ่นดินกัมพูชา
** “ทหารเขมร” เมินทำลายป้าย
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ถึงเรื่องนี้ว่า ล่าสุด พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาระบุว่าได้ประสานให้ทางฝ่ายกัมพูชารื้อถอนป้ายดังกล่าวออก หลังจากนายอภิสิทธิ์ อ้างว่าได้สั่งการให้ทหารไทยไปทำการรื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไป
ล่าสุดแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ออกมาเปิดเผยว่า จนขณะนี้ทางฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้ทำลายรื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไปแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าป้ายดังกล่าวนี้จะถูกสร้างขึ้นหลังจากที่มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา เรื่องการถอนกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ซึ่งเดิมทีมีกำลังของแต่ละฝ่ายอยู่ในวัดประมาณ 1 กองร้อย แต่เนื่องจากรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นว่าการวางกำลังจำนวนมากอยู่ในลักษณะเผชิญหน้ากันเช่นนี้ จะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากเกินไป จึงตกลงร่วมกันว่าให้ปรับลดกำลังทหารลงเหลือฝ่ายละ 10 นายเท่านั้น โดยให้ใส่ชุดเครื่องแบบทหารและติดอาวุธประจำกายเข้าประจำอยู่ในวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และทำหน้าที่ชุดประสานงานข่าว และรายงานความเคลื่อนไหวต่าง ๆ
แหล่งข่าวคนเดิม กล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 ที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลทั้งสองประเทศเห็นว่าเหตุการณ์บนชายแดนเขาพระวิหารเป็นปกติแล้ว จึงได้มีข้อตกลงกันใหม่ว่าจะลดกำลังทหารลงเหลือฝ่าย 5 นาย โดยให้สวมชุดเครื่องแบบทหารแต่ไม่มีการติดอาวุธประจำกายเพื่อลดความตึงเครียดลงอีก แต่หลังวันที่ 1 ธ.ค.53 ทางกัมพูชากลับประโคมข่าวว่า ทหารไทยได้ถอนกำลังออกจากวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระไปหมดแล้ว และประกาศว่าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระอยู่เหนือแดนของกัมพูชา และคาดว่าป้าย “ผู้รุกรานรุกล้ำดินแดนเขมร”จะถูกสร้างขึ้นหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยทางฝ่ายกองทัพไทยได้มีการทำหนังสือประท้วงให้ทำลายป้ายนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ทางกัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม จนเกิดเป็นข่าวขึ้นมาในปัจจุบัน
**ผบ.เขมรรอ “ฮุนเซน” เท่านั้น
ขณะที่ พล.ท.ซะรัย ดึ๊ก ผู้บัญชาการกองพลน้อยสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่เขาพระวิหาร ออกมายอมรับว่ารู้สึกลำบากใจต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และบอกว่าเขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน ซึ่งการทำลายป้ายดังกล่าวก็ต้องได้รับคำสั่งจาก สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพียงคนเดียวเท่านั้น
** “คุณพ่อฮุนเซน” ซ่า เย้ยซ้ำ!
วันเดียวกันสื่อกัมพูชาตีข่าวคำให้สัมภาษณ์ของ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาโดยระบุว่า การที่มีคำสั่งให้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่เขาพระวิหารไปอยู่พื้นราบบริเวณบ้านโกมุย ซึ่งเป็นหมู่บ้านชายแดนอยู่ติดเขาพระวิหารฝั่งกัมพูชานั้นได้ดำเนินการตามเงื่อนไขของยูเนสโก้ กรณีว่าหากจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จะต้องไม่มีคนอาศัยอยู่บริเวณรอบปราสาทเป็นอันขาด โดยย้ำว่าการอพยพชาวบ้านดังกล่าวไม่เกี่ยวกับเรื่องพื้นที่พิพาทชายแดนไทย - กัมพูชาแต่อย่างใด
**ผบ.สส.บินทอดผ้าป่าเขมร
รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 24 ม.ค.นี้ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พร้อมด้วยคณะนายทหารผู้ใหญ่จากกองบัญชาการกองทัพไทยและคณะสื่อมวลชนไทยจะเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อทอดผ้าป่าร่วมกับคณะ พล.อ.โปล ซาเรียน ผบ.สส. กับคณะนายทหารกัมพูชา ที่วัดจันทบุรีวงศ์ กรุงพนมเปญ
**“มาร์ค” อ้างสั่งตั้งแต่ 19 ม.ค.แล้ว
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้อีกว่า ได้สั่งการไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ยืนยันว่า จะดำเนินการให้มีการรื้อถอนป้ายดังกล่าวออกไป คาดว่า จะไม่มีปัญหาอะไร โดยผบ.ทบ.ได้รายงานด้วยว่า ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีลักษณะแบบนี้ ซึ่งพล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่2ยืนยันว่า จะดำเนินการ
“ได้ประสานตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม และเช้าวันที่ 23 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ รายงานกลับมาว่าดำเนินการได้แล้ว และทั้งหมดนี้เราจะใช้ในการไปบอกคณะกรรมการมรดกโลกให้เห็นชัดเจนว่า นี่คือปัญหาทำไมเขาถึงเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ไม่ได้เด็ดขาด เพราะยังมีความขัดแย้งกันอยู่สูง”นายกฯกล่าว
** 7 คนไทยผิดเข้าเมืองไม่ใช่เรื่องดินแดน
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปฏิเสธว่า รัฐบาลยอมเสียดินแดนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ของกัมพูชา แต่ยอมรับว่า หนึ่งในสิ่งที่จะต้องมีการชี้แจงว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของดินแดน เพราะเป็นเรื่องของความผิดบุคคล ซึ่งปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่มีคนสนใจ เป็นเรื่องที่ต้องมีการแก้ไข และรัฐบาลยังยืนยันว่าเอ็มโอยู 2543 ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย และการตัดสินของศาลกัมพูชา เป็นการพิจารณาเรื่องการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องดินแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯได้เดินทางเข้าบ้านพิษณุโลก เพื่อเตรียมความพร้อมในการที่จะแถลงจุดยืนต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย - กัมพูชา และกรณี 7 คนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับกุม ที่จะออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เวลา 20.30น .
**มาร์คอัดเทป แจงผ่านทีวีช่อง 11
เวลา 20.30 น. นายอภิสิทธิ์ ได้ออกรายการพิเศษเพื่อชี้แจงกรณีคนไทย 7 คนถูกจับ มีความยาว 35 นาที โดยนำเทคนิคการซ้อนภาพเพื่อแสดงแผนที่เขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณที่เป็นปัญหาระหว่างหลักเขตที่ 46 และ 47 บริเวณบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และยังมีการนำคลิปวีดีโอที่คณะคนไทยถ่ายไว้ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ตั้งแต่ต้นจนจบมาฉายคู่กันไปด้วย เพื่อแสดงให้เห็นเส้นทางการเดินเท้าของคณะคนไทย ตั้งแต่ลงจากรถที่ถนนศรีเพ็ญจนสิ้นสุดเมื่อทหารกัมพูชาเข้ามาจับกุมตัวคณะคนไทยดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553
นายอภิสิทธิ์เริ่มต้นชี้แจงโดยกล่าวถึงสาเหตุที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เดินทางไปยังบริเวณดังกล่าวใน จ.สระแก้ว ว่า เนื่องจากมีประชาชนในพื้นที่มาร้องเรียนว่าเข้าไปทำกินในที่ดินของตนเองไม่ได้ 1 วันก่อนจะไปนายพนิชยังได้โทรศัพท์มาหาตนเพื่อขอให้ประสานกับตำรวจตระเวณชายแดน (ตชด.) ระหว่างการลงพื้นที่ แต่ตนมาทราบข่าวอีกทีเมื่อคณะของนายพนิชถูกจับกุมตัวแล้วในช่วงสายของวันที่ 29 ธ.ค. โดยเมื่อตรวจสอบย้อนหลัง ก็พบว่าประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว ได้มาร้องเรียนให้รัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหานับสิบปีแล้วจริงๆ
หลังทราบว่าคณะคนไทยถูกจับ รัฐบาลได้พยายามเจรจาเพื่อไม่ให้นำตัวขึ้นสู่ศาล แต่ทางกัมพูชาอ้างว่าคนไทยทั้ง 7 ได้ถูกจับกุมหน้าวัดโจ๊กเจียซึ่งอยู่ในเขตกัมพูชา จึงไม่สามารถส่งตัวคนไทยทั้ง 7 กลับได้ ในวันที่ 31 ธ.ค.2553 จึงมีการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยไปวัดพิกัด ทั้งที่เป็นจุดสิ้นสุดในวีดีโอ กับจุดที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง ซึ่งปรากฏว่าทั้ง 2 จุดอยู่ในพื้นที่ซึ่งเรื่องเขตแดนยังไม่ชัดเจน มีเพียงเส้นปะที่เป็นเส้นแนวปฏิบัติเท่านั้น จึงยืนยันไปว่าคณะคนไทยไม่มีเจตนารุกล้ำดินแดนหรือทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ รัฐบาลก็ไม่เคยบอกว่าคนไทยทั้ง 7 คนรุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา
**แย้งเขมรคำตัดสินไม่เกี่ยวเขตแดน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับข้อสงสัยว่าเมื่อศาลกัมพูชาตัดสินว่าคนไทย 5 คนมีความผิดจริง เท่ากับยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนกัมพูชาหรือไม่ ความจริงแล้ว การตัดสินของศาลไม่ว่าในประเทศใด ย่อมไม่สามารถบ่งชี้ถึงเรื่องเขตแดนได้ และเมื่อศาลกัมพูชาตัดสินแล้ว เมื่อมีการแปลคำพิพากษา ไทยก็จะทำหนังสือโต้แย้งไปว่า ผลการตัดสินคดีดังกล่าว ไม่มีผลต่อการชี้ขาดเรื่องเขตแดนใดๆทั้งสิ้น เพราะเรื่องดังกล่าวจะต้องว่าไปตามกระบวนการของคณะกรรมาธิการร่วมปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี ที่ตั้งขึ้นมาตามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชา หรือเอ็มโอยูเมื่อปี พ.ศ.2543 เท่านั้น
“หลายคนบอกว่าให้ยกเลิกเอ็มโอยูปี 2543 แต่ผมบอกว่า ถ้ายกเลิกชุมชนที่ล้ำแดนเข้ามา ก็จะอ้างได้ว่าอยู่มากว่า 30 ปีแล้ว ฝ่ายไทยกับฝ่ายกัมพูชา ก็จะอ้างสิทธิ โดยยกแผนที่คนละฉบับ ไทยก็จะอ้างแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็จะอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เมื่อตกลงกันไม่ได้ เพราะไม่มีข้อตกลงทางกฎหมายเหลืออยู่แล้ว จะเหลือวิธีเดียว คือใช้กำลังเข้าผลักไสกัน เผชิญหน้ากัน ท้ายสุดไม่ว่าคนไทยหรือคนกัมพูชา ก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข เนื่องจากปัญหาลักษณะนี้ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีไม่ต่ำกว่า 10 จุดด้วยกัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว.