ASTVผู้จัดการรายวัน - ทัพสินค้าอาหารทั่วโลกจ่อปรับราคาขึ้น 15% หลังภัยธรรมชาติพ่นพิษผลผลิตขาดแคลน วัตถุดิบแห่ขยับราคา “พรานทะเล” ปรับตัวชูนโยบายดำเนินธุรกิจลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ลั่น 1-2 ปี สู่กรีนโปรดักส์ทุกตัว ชงคอนเซปต์ “ละ ลด เลิก รีไซเคิล” นำร่องลดการใช้พลาสติก ดันภาพลักษณ์แบรนด์ แถมยังช่วยลดต้นทุนผลิต 20% ประเดิมนำร่องเมนูข้าวต้มลดโลกร้อน สิ้นปีรายได้โต 20% กวาด 1,430 ล้านบาท
นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งพรานทะเล เปิดเผยว่า ปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาอาหารทั่วโลกปรับราคาขึ้น 15% เนื่องจากผลพวงจากภาวะโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวนทั่วโลกนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตร สัตว์ และการประมงลดลง ผลักดันให้ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้น อาทิ เนื้อปลาแซลมอนนำเข้าปี 2552 ราคา 190 บาทต่อกก.เพิ่มเป็น 290บาทต่อกก.ในปี 2553 และกุ้งราคาเพิ่มขึ้น 30%
บริษัทให้ความสำคัญการทำธุรกิจที่ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ภายใต้คอนเซปต์ “ละ ลด เลิก และรีไซเคิล”เพื่อลดกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายใน 1-2 ปี ผลิตภัณฑ์ของพรานทะเลต้องเป็นกรีนโปรดักส์ โดยจะใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกที่น้อยที่สุด ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนการผลิตลง 20% หลังจากราคาพลาสติกได้ปรับเพิ่มขึ้น 10-20% ในช่วงที่ผ่านมา นำร่องทุ่มงบ 10 ล้านบาท จากงบการตลาดทั้งปี 30 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ “ข้าวต้มลดโลกร้อน” โดยบริษัทได้เลือกเมนูข้าวต้มพรานทะเลและพรานไพร ซึ่งเป็นสินค้าที่จำหน่ายดีที่สุด ด้วยการเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ชนิดถ้วยพลาสติก มาเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดบางที่สุด สามารถช่วยลดการใช้พลาสติกลง 65% หรือ 63 ตันต่อปี ช่วยลดต้นทุนการใช้พลาสติก 3-5 บาทต่อชิ้น และยังได้ปรับราคาเมนูข้าวต้มลดลง 20% อาทิ ซีฟู้ดส์ 49 บาท เหลือเป็น 39 บาท และข้าวต้มพรานไพรจาก 39 บาท เหลือ 29 บาท
"หากบริษัทไม่ปรับลดต้นทุน ต้องปรับราคาสินค้าขึ้น 30-40% หลังทดลองจำหน่าย 3-4 เดือนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ยอดขายเมนูข้าวต้มลดโลกร้อน เพิ่มขึ้น 70% และตั้งเป้าว่าสิ้นปีนี้ยอดขาย 100 ล้านบาท โต 15% ส่วนข้าวต้มบรรจุภัณฑ์ถ้วยพลาสติก หากยอดขายต่ำกว่า 10% จะเลิกผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ดังกล่าว และในปีนี้บริษัทยังพิจารณาเมนูอาหารอื่นๆ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ถ้วยพลาสติกลง อาทิ ข้าวผัดปู ตลอดจนการพิจารณาใช้ถ่านการผลิตจากแป้งมันสำปะหลังในกลางปีนี้"
นายอนุรัตน์ กล่าวต่อถึงกลยุทธ์การตลาดในยุคที่ราคาวัตถุดิบพร้อมจะปรับเพิ่มขึ้นว่า การทำตลาดในประเทศบริษัทเน้น 3 รูปแบบ คือ 1.การลดขนาดให้เล็กลง 2. ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 10% 3.ลดปริมาณลงจาก 20-30 กรัม สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าโต 20% หรือ 1,430 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 1,200 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการส่งออกปีนี้ไม่เติบโต เนื่องจากมีปัจจัยลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้น
นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งพรานทะเล เปิดเผยว่า ปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาอาหารทั่วโลกปรับราคาขึ้น 15% เนื่องจากผลพวงจากภาวะโลกร้อน สภาพอากาศแปรปรวนทั่วโลกนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตร สัตว์ และการประมงลดลง ผลักดันให้ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้น อาทิ เนื้อปลาแซลมอนนำเข้าปี 2552 ราคา 190 บาทต่อกก.เพิ่มเป็น 290บาทต่อกก.ในปี 2553 และกุ้งราคาเพิ่มขึ้น 30%
บริษัทให้ความสำคัญการทำธุรกิจที่ลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ภายใต้คอนเซปต์ “ละ ลด เลิก และรีไซเคิล”เพื่อลดกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายใน 1-2 ปี ผลิตภัณฑ์ของพรานทะเลต้องเป็นกรีนโปรดักส์ โดยจะใช้บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกที่น้อยที่สุด ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนการผลิตลง 20% หลังจากราคาพลาสติกได้ปรับเพิ่มขึ้น 10-20% ในช่วงที่ผ่านมา นำร่องทุ่มงบ 10 ล้านบาท จากงบการตลาดทั้งปี 30 ล้านบาท เปิดตัวโครงการ “ข้าวต้มลดโลกร้อน” โดยบริษัทได้เลือกเมนูข้าวต้มพรานทะเลและพรานไพร ซึ่งเป็นสินค้าที่จำหน่ายดีที่สุด ด้วยการเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ชนิดถ้วยพลาสติก มาเป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดบางที่สุด สามารถช่วยลดการใช้พลาสติกลง 65% หรือ 63 ตันต่อปี ช่วยลดต้นทุนการใช้พลาสติก 3-5 บาทต่อชิ้น และยังได้ปรับราคาเมนูข้าวต้มลดลง 20% อาทิ ซีฟู้ดส์ 49 บาท เหลือเป็น 39 บาท และข้าวต้มพรานไพรจาก 39 บาท เหลือ 29 บาท
"หากบริษัทไม่ปรับลดต้นทุน ต้องปรับราคาสินค้าขึ้น 30-40% หลังทดลองจำหน่าย 3-4 เดือนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ยอดขายเมนูข้าวต้มลดโลกร้อน เพิ่มขึ้น 70% และตั้งเป้าว่าสิ้นปีนี้ยอดขาย 100 ล้านบาท โต 15% ส่วนข้าวต้มบรรจุภัณฑ์ถ้วยพลาสติก หากยอดขายต่ำกว่า 10% จะเลิกผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ดังกล่าว และในปีนี้บริษัทยังพิจารณาเมนูอาหารอื่นๆ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ถ้วยพลาสติกลง อาทิ ข้าวผัดปู ตลอดจนการพิจารณาใช้ถ่านการผลิตจากแป้งมันสำปะหลังในกลางปีนี้"
นายอนุรัตน์ กล่าวต่อถึงกลยุทธ์การตลาดในยุคที่ราคาวัตถุดิบพร้อมจะปรับเพิ่มขึ้นว่า การทำตลาดในประเทศบริษัทเน้น 3 รูปแบบ คือ 1.การลดขนาดให้เล็กลง 2. ปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 10% 3.ลดปริมาณลงจาก 20-30 กรัม สำหรับผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าโต 20% หรือ 1,430 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมา 1,200 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการส่งออกปีนี้ไม่เติบโต เนื่องจากมีปัจจัยลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้น