วานนี้(17 ม.ค.)นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า กรทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีที่จะประชุมในวันที่ 18 ม.ค.นี้ เห็นชอบการตั้งบประมาณกลางปี 2554 เพิ่มเติม เพื่อนำไปใช้เงินคงคลัง และไปฟื้นฟูประเทศที่ได้รับความเสียจากปัญหาภัยธรรมชาติที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เสนอให้นายกรณ์ ตั้งงบกลางปีประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ตามประมาณการรายได้สุทธิที่คาดว่าจะเก็บได้เกินเป้าเดิมที่ตั้งไว้ โดยจะนำงบไปใช้เงินคงคลัง 8.5 หมื่นล้านบาท และส่วนที่เหลือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท จะนำไปใส่ไว้ในงบกลางที่มีการนำไปช่วยเหลือน้ำท่วมที่ผ่านมาจำนวนมาก ทำให้งบกลางของปี 2554 เหลือเพียงครึ่งเดียว
นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ฐานะทีมโฆษกเศรษฐกิจ ชี้แจงถึงการจัดงบกลางปีของรัฐบาลจำนวน 1แสนล้านบาท ว่า ไม่ได้เป็นการทำลายวินัยการคลัง สร้างหนี้ หรือแก้ปัญหาให้กับพรรคร่วมรัฐบาล แต่เนื่องจากมีการจัดเก็บรายได้มากเกินกว่าที่คาดการ 1.2 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงตั้งงบกลางขึ้นมา 1 แสนล้านบาท โดยเป็นงบชดเชยเงินคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาท และงบแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการทำลายวินัยการเงินการคลัง แต่เป็นการเพิ่มความคล่องตัวในระยะยาว ในการตั้งบฉุกเฉินไว้สำหรับรองรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นใมนอนาคต
อีกด้านหนึ่ง นายอนุชา บูรพชัยศรี ส.ส. กทม หนึ่งในทีมเศรษฐกิจกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาระบุถึงการว่าจ้างบริษัทแมคแคนซี แอนด์ โค ที่ปรึกษาในโครงการประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลมีการใช้งบประมาณสูงและมีบุคคลระดับผู้ใหญ่ในรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง การว่าจ้างบริษัทใดๆเข้ามาดำเนินการในโครงการของรัฐบาลจะต้องเป็นไปตามระเบียบกฏกระทรวง โดยบริษัทดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนสำนักการเศรษฐกิจการคลังด้วย นอกจากนี้ยังมีการคลาดเคลื่อนเรื่องเวลาที่ระบุว่าบริษัททำงานให้เพียง 35 วัน ซึ่งความจริงเป็นเพียงระยะเวลาระดมสมองของภาครัฐที่ศูนย์ราชการ ทั้งที่ความจริงต้องมีระยะเวลาในการเตรียมการก่อนหน้านั้น จนถึงการนำไปสู้ติดตามผลการปฏิบัติงาน ถือว่าจะต้องใช้เวลานานกว่า 4 เดือน และหากพิจารณาดูรายละเอียดของงานที่ได้บริษัททำการศึกษาจะพบว่าราคามีความเหมาะสม และถูกกว่าการว่าจ้างบริษัทอื่นทั่วไปด้วยซ้ำ
นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารโลกที่จะมีส่วนเข้ามากำหนดรายละเอียดการนำเงินไปใช้ ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง และถูกต้องตามกฏระเบียบ ดังนั้นถือว่าเงินที่นำไปใช้มีความเหมาะสมและคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมา
“หากเปรียบที่พรรคเพื่อไทยในสมัยที่เป็นพรรคไทยรักไทยมีการว่าจ้างคนที่มีชื่อเสียงมาสัมมนา 1 ล้านเหรียญ 40 ล้านบาทสมัยนั้น พูดเพียงครึ่งวัน หรือโครงการศึกษาวิจัยโครงการแหลมผักเบี้ยที่จะสร้างถนนผ่านจากกรุงเทพไปชะอำ มีการจ้างบริษัทที่ปรึกษา400 ล้านบาท แต่ได้สมุดมาเพียงเล่มเดียว และรู้แต่แรกแล้วว่าไม่สามารถทำโครงการนี้ได้”
นายอนุชากล่าวว่า ขอยืนยันว่าบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวไม่ได้มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่หากฝ่ายค้านมีข้อมูลก็สามารถดำเนินการกับรัฐบาลตามกฏหมายได้โดยตรงไม่ต้องรอให้เปิดสมัยประชุมสภาเพื่อนำเรื่องเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วาใจ และไม่อยากให้นำเรื่องนี้มาเบี่ยงประเด็น เพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์กับประชาชนจำนวนมาก
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ตนยืนยันว่าไม่มีคนของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเข้าไปแทรกแซงบริษัทแมคแคนซีแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ดังนั้นหากจะมีคนไทยเข้าไปถือหุ้นน่าจะเป็นความภาคภูมิใจ แต่ยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีคนของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน
ด้านนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สำหรับมูลค่าโครงการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจำนวน 69ล้านบาท ไม่ถือว่าแพงกว่าปกติเมื่อเทียบกับบริษัทลักษณะเดียวกัน อีกทั้งจำนวนเงินดังกล่าวไม่ใช่แค่ทำการประชาสัมพันธ์โครงการตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่ยังรวมถึงการศึกษาหาข้อมูลวางแผนการทำงาน จนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติ และการใช้เงินสนับสนุนจากธนาคารโลกยังต้องมีระเบียบการตรวจสอบที่เข้มงวด
นายสรรเสริญ กล่าวยอมรับว่า มีการใช้เงินเพื่อจ้างเอกชนให้เข้ามาร่วมทำงานในโครงการเร่งรัฐ ปฏิบัติการด่วน เพื่อคนไทย หรือโครงการประชาวิวัฒน์จริง ภายหลังที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่ามีการใช้เงินมากถึง 69 ล้านบาท จ้างบริษัทที่ปรึกษามาทำโครงการประชาวิวัฒน์ แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด โดยกล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
ทั้งนี้ตามความเข้าใจมองว่า การทำโครงการใดๆ ของรัฐ จำเป็นต้องมีบริษัทออแกนไนซ์เซอร์ บริษัทรับจ้างทำประชาสัมพันธ์เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับโครงการของรัฐบาล เบื้องต้นทราบว่าบริษัทที่มาทำการประชาสัมพันธ์ให้กับโครงการประชาวิวัฒน์นั้น นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เป็นผู้ที่ดูแล ส่วนบริษัทที่ปรึกษาเพื่อให้ช่วยคิดโครงการนั้น ยืนยันว่าคนที่มีส่วนช่วยคิดแผนของโครงการนั้น เป็นบุคคล ข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ในหน่วยงานต่างๆ
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมช. คลัง ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตามที่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมากล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยพูดเท็จ และ ชี้แจงว่ารัฐบาลไม่ได้มีความคิดที่จะนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้สมทบเงินสวัสดิการในประชาวิวัฒน์ 9 ข้อนั้น ตนขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งจะนำไปทำการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย เพราะฉะนั้นพรรคประชสธิปัตย์อย่าเพิ่งกินปูนร้อนท้อง แต่ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะยังไม่มอบหลักฐานให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะมีการทำลายหลักฐานอีก
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เสนอให้นายกรณ์ ตั้งงบกลางปีประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ตามประมาณการรายได้สุทธิที่คาดว่าจะเก็บได้เกินเป้าเดิมที่ตั้งไว้ โดยจะนำงบไปใช้เงินคงคลัง 8.5 หมื่นล้านบาท และส่วนที่เหลือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท จะนำไปใส่ไว้ในงบกลางที่มีการนำไปช่วยเหลือน้ำท่วมที่ผ่านมาจำนวนมาก ทำให้งบกลางของปี 2554 เหลือเพียงครึ่งเดียว
นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ฐานะทีมโฆษกเศรษฐกิจ ชี้แจงถึงการจัดงบกลางปีของรัฐบาลจำนวน 1แสนล้านบาท ว่า ไม่ได้เป็นการทำลายวินัยการคลัง สร้างหนี้ หรือแก้ปัญหาให้กับพรรคร่วมรัฐบาล แต่เนื่องจากมีการจัดเก็บรายได้มากเกินกว่าที่คาดการ 1.2 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงตั้งงบกลางขึ้นมา 1 แสนล้านบาท โดยเป็นงบชดเชยเงินคงคลัง 8.4 หมื่นล้านบาท และงบแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการทำลายวินัยการเงินการคลัง แต่เป็นการเพิ่มความคล่องตัวในระยะยาว ในการตั้งบฉุกเฉินไว้สำหรับรองรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นใมนอนาคต
อีกด้านหนึ่ง นายอนุชา บูรพชัยศรี ส.ส. กทม หนึ่งในทีมเศรษฐกิจกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาระบุถึงการว่าจ้างบริษัทแมคแคนซี แอนด์ โค ที่ปรึกษาในโครงการประชาวิวัฒน์ของรัฐบาลมีการใช้งบประมาณสูงและมีบุคคลระดับผู้ใหญ่ในรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง การว่าจ้างบริษัทใดๆเข้ามาดำเนินการในโครงการของรัฐบาลจะต้องเป็นไปตามระเบียบกฏกระทรวง โดยบริษัทดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนสำนักการเศรษฐกิจการคลังด้วย นอกจากนี้ยังมีการคลาดเคลื่อนเรื่องเวลาที่ระบุว่าบริษัททำงานให้เพียง 35 วัน ซึ่งความจริงเป็นเพียงระยะเวลาระดมสมองของภาครัฐที่ศูนย์ราชการ ทั้งที่ความจริงต้องมีระยะเวลาในการเตรียมการก่อนหน้านั้น จนถึงการนำไปสู้ติดตามผลการปฏิบัติงาน ถือว่าจะต้องใช้เวลานานกว่า 4 เดือน และหากพิจารณาดูรายละเอียดของงานที่ได้บริษัททำการศึกษาจะพบว่าราคามีความเหมาะสม และถูกกว่าการว่าจ้างบริษัทอื่นทั่วไปด้วยซ้ำ
นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารโลกที่จะมีส่วนเข้ามากำหนดรายละเอียดการนำเงินไปใช้ ว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง และถูกต้องตามกฏระเบียบ ดังนั้นถือว่าเงินที่นำไปใช้มีความเหมาะสมและคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับกลับมา
“หากเปรียบที่พรรคเพื่อไทยในสมัยที่เป็นพรรคไทยรักไทยมีการว่าจ้างคนที่มีชื่อเสียงมาสัมมนา 1 ล้านเหรียญ 40 ล้านบาทสมัยนั้น พูดเพียงครึ่งวัน หรือโครงการศึกษาวิจัยโครงการแหลมผักเบี้ยที่จะสร้างถนนผ่านจากกรุงเทพไปชะอำ มีการจ้างบริษัทที่ปรึกษา400 ล้านบาท แต่ได้สมุดมาเพียงเล่มเดียว และรู้แต่แรกแล้วว่าไม่สามารถทำโครงการนี้ได้”
นายอนุชากล่าวว่า ขอยืนยันว่าบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวไม่ได้มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่หากฝ่ายค้านมีข้อมูลก็สามารถดำเนินการกับรัฐบาลตามกฏหมายได้โดยตรงไม่ต้องรอให้เปิดสมัยประชุมสภาเพื่อนำเรื่องเข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วาใจ และไม่อยากให้นำเรื่องนี้มาเบี่ยงประเด็น เพราะเป็นโครงการที่มีประโยชน์กับประชาชนจำนวนมาก
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ตนยืนยันว่าไม่มีคนของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเข้าไปแทรกแซงบริษัทแมคแคนซีแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ดังนั้นหากจะมีคนไทยเข้าไปถือหุ้นน่าจะเป็นความภาคภูมิใจ แต่ยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีคนของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน
ด้านนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า สำหรับมูลค่าโครงการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจำนวน 69ล้านบาท ไม่ถือว่าแพงกว่าปกติเมื่อเทียบกับบริษัทลักษณะเดียวกัน อีกทั้งจำนวนเงินดังกล่าวไม่ใช่แค่ทำการประชาสัมพันธ์โครงการตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่ยังรวมถึงการศึกษาหาข้อมูลวางแผนการทำงาน จนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติ และการใช้เงินสนับสนุนจากธนาคารโลกยังต้องมีระเบียบการตรวจสอบที่เข้มงวด
นายสรรเสริญ กล่าวยอมรับว่า มีการใช้เงินเพื่อจ้างเอกชนให้เข้ามาร่วมทำงานในโครงการเร่งรัฐ ปฏิบัติการด่วน เพื่อคนไทย หรือโครงการประชาวิวัฒน์จริง ภายหลังที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่ามีการใช้เงินมากถึง 69 ล้านบาท จ้างบริษัทที่ปรึกษามาทำโครงการประชาวิวัฒน์ แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด โดยกล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน เนื่องจากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
ทั้งนี้ตามความเข้าใจมองว่า การทำโครงการใดๆ ของรัฐ จำเป็นต้องมีบริษัทออแกนไนซ์เซอร์ บริษัทรับจ้างทำประชาสัมพันธ์เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับโครงการของรัฐบาล เบื้องต้นทราบว่าบริษัทที่มาทำการประชาสัมพันธ์ให้กับโครงการประชาวิวัฒน์นั้น นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เป็นผู้ที่ดูแล ส่วนบริษัทที่ปรึกษาเพื่อให้ช่วยคิดโครงการนั้น ยืนยันว่าคนที่มีส่วนช่วยคิดแผนของโครงการนั้น เป็นบุคคล ข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ในหน่วยงานต่างๆ
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมช. คลัง ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตามที่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมากล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยพูดเท็จ และ ชี้แจงว่ารัฐบาลไม่ได้มีความคิดที่จะนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้สมทบเงินสวัสดิการในประชาวิวัฒน์ 9 ข้อนั้น ตนขอยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งจะนำไปทำการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย เพราะฉะนั้นพรรคประชสธิปัตย์อย่าเพิ่งกินปูนร้อนท้อง แต่ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะยังไม่มอบหลักฐานให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะมีการทำลายหลักฐานอีก
