อำนาจปกครองโดยขุนทหารยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการของสถานการณ์ที่สังคมโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุค “สงครามเย็น” สหรัฐฯ รวบรวมประเทศต่างๆ ในย่านเอเชียตะวันออก ปิดล้อมจีน ชักนำประเทศไทยเข้าร่วมทำสงครามเกาหลี และสงครามเวียดนามตามลำดับ
ในที่สุด อำนาจนำโดยทหารก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ตามมาด้วยชัยชนะของขบวนการคอมมิวนิสต์อินโดจีน สหรัฐฯ ต้องถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอีกหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และดำเนินนโยบาย “ถอยห่าง” จากเอเชีย เพื่อเลียแผลบาดเจ็บ
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ได้จุดระเบิดกระแสการเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน ผสมผสานกับการรุกคืบของขบวนการปฏิวัติสังคมของมวลชนฝ่ายซ้าย ยังผลให้กลุ่มอำนาจนำโดยทหารต้องถอยร่น ไปยืนอยู่ในแนวสองของวงแหวนอำนาจนำ
ผู้ที่ก้าวออกมาอยู่ในแนวแรก หรือศูนย์กลางของวงแหวนการใช้อำนาจ กลายเป็นกลุ่มพ่อค้านายทุน และผู้มีอิทธิพลในระดับท้องถิ่น ที่มีความพร้อมเข้ามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนำทางการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค
พวกเขาแต่งแต้มสีสันตนเองให้กลมกลืนกันกับกระแสการเรียกร้องประชาธิปไตย ประดับประดาตนเองด้วยแพรพรรณของพรรคการเมือง ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในระบบรัฐสภา ถือเอาการเลือกตั้งเป็นสรณะ ซึ่งพอเริ่มต้น ก็ด้วยการซื้อเสียง
ด้วยโครงสร้างของการซื้อเสียง ทำให้การใช้อำนาจของกลุ่มพ่อค้านายทุน เป็นไปในทางฉ้อฉลตั้งแต่เริ่มต้น
อาชีพนักการเมือง กลายเป็นอาชีพที่ต้องลงทุนสูง แต่ผลตอบแทนก็งามเกินกว่าอาชีพอื่นใด
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มอำนาจนำในระบบรัฐสภา จึงใช้อำนาจเพื่อสั่งสมทุนเป็นหลัก ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของประเทศไทย โดยถือเอาผลประโยชน์ตนเป็นตัวตั้ง จนในที่สุด กลายพันธุ์เป็น “ทุนสามานย์” ปล้นชาติปล้นประชาชน
พวกเขากลายเป็นผู้ทำลายโอกาสประเทศไทย ในการก้าวไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาก้าวหน้า เฉกเช่นที่สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือกระทั่งมาเลเซีย ได้ดำเนินไปแล้ว
เสียงเพรียกหา “การเมืองสะอาด” และการใช้อำนาจบริหารประเทศที่ “ถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง” จึงดังกระหึ่ม
การเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างฉ้อฉลของกลุ่มทุนในระบอบทักษิณ จึงระเบิดขึ้น ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพัฒนาเติบใหญ่ เป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่แทบจะในชั่วพริบตาเดียว
มันเป็นสัญญาณเบื้องต้น ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะต้องมาถึง
โดยนัยก็คือ จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มอำนาจนำ จากกลุ่มพ่อค้านายทุน เป็นตัวแทนจาก “ทุกฝ่าย” ที่ถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
มาบัดนี้ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกตกอยู่ในการห้อมล้อมของภาวะวิกฤต ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
บวกกับการผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วของจีน และอินเดีย มีผลให้ดุลอำนาจระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ที่ดำเนินการปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน โดยยึดเอาการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นฐาน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจีนให้พ้นจากความยากจน และความไม่รู้อย่างรวดเร็ว และในทุกๆ ด้าน เกิดความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวัตถุ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลกโดยรวมในรูปของ “ไชน่าโมเดล”
การเคลื่อนตัวมาถึงของ “ยุคเอเชีย” ที่มีจีนกับอินเดียเป็นหัวหอก ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างจีนกับอินเดีย และโดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นจุดเชื่อมสำคัญที่สุดของอารยธรรมจีนกับอินเดียมาตั้งแต่โบราณกาล ต้องรีบเร่งปรับตัวเอง
ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ที่มีสัดส่วนประชากรที่เป็นคนเชื้อสายจีนจำนวนมาก มีคณะผู้บริหารประเทศที่ดี มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ยาวไกล และที่สำคัญคือ “มือสะอาด” มุ่งสร้างความเจริญให้ชาติบ้านเมือง สามารถปรับตัวเองได้ก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ ภายใต้การนำของนายลีกวนยิว ได้พัฒนาประเทศล้ำหน้าประเทศอื่นใดในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นที่เชื่อถือของนานาชาติ
ในที่สุด อำนาจนำโดยทหารก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อสหรัฐฯ พ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ตามมาด้วยชัยชนะของขบวนการคอมมิวนิสต์อินโดจีน สหรัฐฯ ต้องถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอีกหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และดำเนินนโยบาย “ถอยห่าง” จากเอเชีย เพื่อเลียแผลบาดเจ็บ
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ได้จุดระเบิดกระแสการเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน ผสมผสานกับการรุกคืบของขบวนการปฏิวัติสังคมของมวลชนฝ่ายซ้าย ยังผลให้กลุ่มอำนาจนำโดยทหารต้องถอยร่น ไปยืนอยู่ในแนวสองของวงแหวนอำนาจนำ
ผู้ที่ก้าวออกมาอยู่ในแนวแรก หรือศูนย์กลางของวงแหวนการใช้อำนาจ กลายเป็นกลุ่มพ่อค้านายทุน และผู้มีอิทธิพลในระดับท้องถิ่น ที่มีความพร้อมเข้ามีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนำทางการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับภูมิภาค
พวกเขาแต่งแต้มสีสันตนเองให้กลมกลืนกันกับกระแสการเรียกร้องประชาธิปไตย ประดับประดาตนเองด้วยแพรพรรณของพรรคการเมือง ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในระบบรัฐสภา ถือเอาการเลือกตั้งเป็นสรณะ ซึ่งพอเริ่มต้น ก็ด้วยการซื้อเสียง
ด้วยโครงสร้างของการซื้อเสียง ทำให้การใช้อำนาจของกลุ่มพ่อค้านายทุน เป็นไปในทางฉ้อฉลตั้งแต่เริ่มต้น
อาชีพนักการเมือง กลายเป็นอาชีพที่ต้องลงทุนสูง แต่ผลตอบแทนก็งามเกินกว่าอาชีพอื่นใด
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มอำนาจนำในระบบรัฐสภา จึงใช้อำนาจเพื่อสั่งสมทุนเป็นหลัก ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของประเทศไทย โดยถือเอาผลประโยชน์ตนเป็นตัวตั้ง จนในที่สุด กลายพันธุ์เป็น “ทุนสามานย์” ปล้นชาติปล้นประชาชน
พวกเขากลายเป็นผู้ทำลายโอกาสประเทศไทย ในการก้าวไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาก้าวหน้า เฉกเช่นที่สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือกระทั่งมาเลเซีย ได้ดำเนินไปแล้ว
เสียงเพรียกหา “การเมืองสะอาด” และการใช้อำนาจบริหารประเทศที่ “ถือเอาผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง” จึงดังกระหึ่ม
การเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้อำนาจบริหารประเทศอย่างฉ้อฉลของกลุ่มทุนในระบอบทักษิณ จึงระเบิดขึ้น ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพัฒนาเติบใหญ่ เป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่แทบจะในชั่วพริบตาเดียว
มันเป็นสัญญาณเบื้องต้น ที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะต้องมาถึง
โดยนัยก็คือ จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มอำนาจนำ จากกลุ่มพ่อค้านายทุน เป็นตัวแทนจาก “ทุกฝ่าย” ที่ถือเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้ง
มาบัดนี้ ประเทศมหาอำนาจตะวันตกตกอยู่ในการห้อมล้อมของภาวะวิกฤต ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
บวกกับการผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วของจีน และอินเดีย มีผลให้ดุลอำนาจระหว่างตะวันตกกับตะวันออกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ที่ดำเนินการปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน โดยยึดเอาการพัฒนาทางเศรษฐกิจเป็นฐาน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจีนให้พ้นจากความยากจน และความไม่รู้อย่างรวดเร็ว และในทุกๆ ด้าน เกิดความสมบูรณ์ทั้งทางด้านวัตถุ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลกโดยรวมในรูปของ “ไชน่าโมเดล”
การเคลื่อนตัวมาถึงของ “ยุคเอเชีย” ที่มีจีนกับอินเดียเป็นหัวหอก ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างจีนกับอินเดีย และโดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นจุดเชื่อมสำคัญที่สุดของอารยธรรมจีนกับอินเดียมาตั้งแต่โบราณกาล ต้องรีบเร่งปรับตัวเอง
ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ที่มีสัดส่วนประชากรที่เป็นคนเชื้อสายจีนจำนวนมาก มีคณะผู้บริหารประเทศที่ดี มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ยาวไกล และที่สำคัญคือ “มือสะอาด” มุ่งสร้างความเจริญให้ชาติบ้านเมือง สามารถปรับตัวเองได้ก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ ภายใต้การนำของนายลีกวนยิว ได้พัฒนาประเทศล้ำหน้าประเทศอื่นใดในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นที่เชื่อถือของนานาชาติ