xs
xsm
sm
md
lg

ชี้อุปถัมภ์-คอร์รัปชัน ฉุดไทยไม่พ้นประเทศกำลังพัฒนา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องสำรวจสาเหตุสำคัญ ทำไมประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา ในยุครัฐบาลชุดปัจจุบัน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ใน 17 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เพชรบุรี สระบุรี นครปฐม ชลบุรี มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา เลย ขอนแก่น อุบลราชธานี นราธิวาส สงขลา และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,249 ตัวอย่าง โดยดำเนินการในช่วง 1 – 8 ม.ค. 54 ซึ่งผลการสำรวจพบว่า
ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 77.7 ระบุมีระบบต่างตอบแทนบุญคุณกันในกลุ่มข้าราชการ โดยร้อยละ 51.8 ระบุว่า มีเหมือนเดิม ร้อยละ 25.9 ระบุว่า มีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 22.3 ระบุว่าลดลง
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.7 พบเห็นการทุจริตคอร์รัปชันในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 49.6 พบเห็นเหมือนเดิม ร้อยละ 30.1 พบเห็นมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 20.3 พบเห็นลดน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.7 ระบุมีการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นพรรคพวกของตนเอง โดยร้อยละ 49.0 ระบุมีเหมือนเดิม ร้อยละ 34.7 ระบุมีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 16.3 ระบุลดลง
ที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 74.7 มองว่ามีการครอบครองที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศโดยคนตระกูลใหญ่ๆ เพียงไม่กี่กลุ่ม โดยร้อยละ 43.3 ระบุมีเหมือนเดิม ร้อยละ 31.4 มองว่ามีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 25.3 มองว่า ลดลง แต่ที่น่าเป็นห่วงมาก คือส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 73.3 ระบุมีการฉ้อราษฎร์ (เจ้าหน้าที่รัฐโกง รีดไถประชาชน) และบังหลวง (เจ้าหน้าที่รัฐครอบครอง ยักยอกถ่ายเททรัพย์สินของหลวง) โดยร้อยละ 47.4 ระบุ มีเหมือนเดิม และร้อยละ 25.9 ระบุมีมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 26.7 ระบุลดน้อยลง ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.0 ได้ยินเรื่องการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 45.0 ได้ยินเหมือนเดิม ร้อยละ 31.0 ได้ยินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 24.0 ได้ยินลดน้อยลง
เมื่อถามว่า ยังคงพบเห็นระบบเด็กเส้น ตระกูลดังในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.0 ระบุพบเห็นโดยร้อยละ 43.0 พบเห็นเหมือนเดิม และร้อยละ 41.0 พบเห็นมากขึ้น ในขณะที่ ร้อยละ 16.0 พบเห็นลดลงที่สำคัญคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.6 พบการรีดไถประชาชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 42.7 พบเหมือนเดิม ร้อยละ 20.9 พบเห็นมากขึ้น และร้อยละ 36.4 พบเห็นลดน้อยลง
เมื่อถามถึงการพบเห็นการข่มขู่ คุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ พบว่า เกินกว่าครึ่งเล็กน้อยหรือร้อยละ 54.2 พบเห็นการข่มขู่ คุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ โดยร้อยละ 39.4 พบเห็นเหมือนเดิม ร้อยละ 14.8 พบเห็นมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 45.8 พบเห็นลดน้อยลงที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.0 ระบุชาวบ้านรากหญ้า ยังคงมีความทุกข์ใจเดือดร้อน โดยร้อยละ 38.0 ระบุยังมีความทุกข์เดือดร้อนเหมือนเดิม และร้อยละ 48.0 ระบุเพิ่มมากขึ้น และร้อยละ 14.0 ระบุลดลง
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อคุณภาพของข้าราชการ ภายหลังมีระบบประเมินการทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ พบว่า ร้อยละ 33.2 ระบุ แย่เหมือนเดิม ร้อยละ 17.4 ระบุแย่ลง ในขณะที่ร้อยละ 26.8 ระบุดีเหมือนเดิม และร้อยละ 22.6 ระบุดีขึ้น
เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อประโยชน์ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.0 ระบุนักการเมืองได้ประโยชน์ ในขณะที่ร้อยละ 32.0 คิดว่าเป็นการแก้ไขรํฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ดร.นพดล กล่าวว่า ความคิดเห็นและประสบการณ์ของประชาชนที่ค้นพบในผลวิจัยครั้งนี้ ชี้ให้เห็นสาเหตุสำคัญว่า ทำไมประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนา เช่น การเน้นเศรษฐกิจเมืองมากกว่าเศรษฐกิจชุมชน มีการทุจริตคอร์รัปชัน มีระบบต่างตอบแทนบุญคุณกัน มีการฉ้อราษฏร์ บังหลวง มีระบบเด็กเส้น ตระกูลดัง เป็นต้น
ดังนั้น ทางออก คือ 1. เน้นหนักการพัฒนา “เศรษฐกิจชายขอบ” ของสังคม โดยเร่งกระจายที่ดิน ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพของประชาชนส่วนใหญ่ได้มีโอกาสครอบครองทรัพยากรเป็นของตนเองในชุมชนท้องถิ่นท้องที่ต่างๆ โดยไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคนเฉพาะกลุ่ม
2. รัฐบาลน่าจะมีโครงการนำร่องพัฒนาธุรกิจการเกษตรแบบผสมผสานให้ครบวงจรเป็นตัวอย่างกับชุมชนอื่นๆ เช่น ประชาชนมีที่ดินเป็นของตนเอง ทำการเกษตรแบบผสมผสาน มีการร่วมมือกันระหว่างเกษตรกรกับทีมงานบริหารจัดการมืออาชีพด้านการผลิต การบรรจุภัณฑ์ การตลาด และการพัฒนาที่ยั่งยืนลงพื้นที่ทำธุรกิจร่วมกันให้เป็นตัวอย่างชุมชนอื่นๆ ของประเทศ
3. ยกเครื่องระบบ หรืออาจจะยกเลิกระบบการประเมินคุณภาพข้าราชการที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพราะจากการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มข้าราชการจำนวนมากพบว่า พวกเขาต้องสูญเสียเวลามากเกินไปกับการทำตามตัวชี้วัดที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและหน่วยงานของพวกเขาโดยส่วนรวม และบางหน่วยงานเวลามีประเมินแต่ละครั้งก็สร้างข้อมูลเท็จ ตกแต่งตัวเลขบิดเบือนไปจากความเป็นจริง
4. ทำลายกำแพงที่ขวางกั้นหน่วยงานราชการต่างๆ ด้วยการปฏิรูประบบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ให้เป็นแบบ ครบวงจร และเชื่อมโยงแบบ online ถึงทุกหน่วยงานราชการเป็นฐานข้อมูลเดียวกัน แบบ One Stop Service เพื่อให้ประชาชนไปเพียงที่เดียว หน่วยงานต่างๆ ก็จะทราบทั่วกันในการหาแนวทางแก้ไขความทุกข์เดือดร้อนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของตำรวจ เชื่อมโยงกับกระทรวงมหาดไทย และทำเนียบรัฐบาล เพราะทุกหน่วยงานมีโทรศัพท์สายด่วน เมื่อชาวบ้านเกิดปัญหาจะร้องเรียน ก็จะไม่ถูกเก็บเข้าลิ้นชัก เรื่องเงียบหายไป หรือมีการโยนความเดือดร้อนของประชาชนกันไปมาให้พ้นตัว นอกจากนี้ น่าจะให้ข้าราชการที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เป็นกลุ่มคนที่เก่งและดี มีค่าตอบแทนให้สูงเป็นพิเศษ แต่ถ้าโยกย้ายกลุ่มข้าราชการที่ถูกลงโทษลงทัณฑ์หรือไม่รู้จะโยกย้ายไปไหนให้มาอยู่ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ก็จะเกิดความขุ่นข้องหมองใจในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐว่า คนรับเรื่องราวร้องทุกข์ก็กำลังมีทุกข์จะไปช่วยปลดทุกข์ชาวบ้านได้อย่างไร
5. เร่งทำให้การแก้ปัญหาทุจริต คอร์รัปชันมีประสิทธิภาพ โดยทำให้กลไกของรัฐในเวลานี้มีความสมบูรณ์ เช่น สำนักงาน ปปท. ที่เน้นการแก้ปัญหาการทุจริตในภาครัฐของกลุ่มข้าราชการชั้นผู้น้อย เนื่องจากสำนักงาน ปปท. ยังขาดองค์ประกอบคณะกรรมการที่สมบูรณ์เพราะติดปัญหาการพิจารณาคณะบุคคลของฝ่ายการเมืองและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น การทำงานแต่ละครั้งต้องอาศัยการพึ่งพาหน่วยงานอื่นๆ ขาดความคล่องตัว ส่งผลให้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นยังคงมีเหมือนเดิมและเพิ่มมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น