00 ผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.) สำหรับมาตรการ “ประชาวิวัฒน์” ล็อตสอง ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำทีมแถลง อ้างว่านี่คือ “ของขวัญ” เก้าอย่างเพื่อลดค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชน เป็นการ “ปฏิรูป” ประเทศไทย ในความเป็นจริงจะเป็นไปตามที่โม้เอาไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
00 แต่งานนี้สิ่งที่ต้องติดมากับปลายนวมก็คือเกม “หาเสียง” เอากับกลุ่ม “รากหญ้า” ที่ในอดีตเป็น “ฐานเสียง” ของฝ่ายตรงข้าม “ช่วงชิง” มาเป็นของประชาธิปัตย์ ซึ่งมีผล “กระเพื่อม” ไปไกลหลายเด้ง เด้งแรก เป็นการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกทั้งในเมือง และต่างจังหวัด ให้ดึงกลับมาสนับสนุน
00 เด้งที่สอง ต้องไม่ลืมว่าบรรดา คนขับแท็กซี่ วินมอร์เตอร์ไซค์ รวมไปถึงแม่ค้า พ่อค้าหาบเร่แผงลอยที่มาหากินอยู่ในกรุงเทพฯส่วนใหญ่มีพื้นเพมาจากต่างจังหวัดที่อพยพเข้ามา โดยเฉพาะน่าจะร้อยละ 70-80 มาจากภาคอีสาน และภาคเหนือ เมื่อสร้างความประทับใจให้กับคนเหล่านี้ได้ มันก็ย่อมมีการ “บอกต่อ” ไปถึงญาติพี่น้องในต่างจังหวัดให้เปลี่ยนใจ เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่
00 ถามว่าจริงๆ แล้วในรูปธรรมมันอาจไม่ได้แตกต่างจาก “ยุคแม้ว” เท่าไหร่ ประเด็นมันอยู่ที่การ “สร้างกระแส” เอาใจใส่ แบบเอื้ออาทร สมัยก่อน ทักษิณ ชินวัตร มันก็ไม่เคยแจกรถแท็กซี่ แจก รถมอเตอร์ไซต์มากมายอะไรนัก อาจมีบ้างที่คัดเลือกมาแล้วมอบรถให้ไปขับ แต่จะเป็นลักษณะของการให้ความสำคัญ เชิดชู ทำให้คนเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่ หากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วเปรียบเหมือน “พลเมืองชั้นสาม” ถูกรีดไถ ถูกเอาเปรียบ แต่ทักษิณ ใช้วิธีทำขึงขังทำให้เห็นว่า “เป็นพวกเดียวกัน” มันก็ได้ใจไปเต็มๆ
00 ขณะที่ รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้เห็นช่องทางแบบนี้ เมื่อได้จังหวะก็กระโดด “เข้าแทรก” หลังจาก “เครือข่ายแม้ว” เสียหลัก มัวแต่ยุ่งอยู่แต่ปัญหาภายใน นำมา “ต่อยอด” ขยายผลในเรื่องสวัสดิการ และให้สินเชื่อ เชื่อว่างานนี้ทำให้ต่อไปฐานเสียงของ เพื่อไทยสั่นสะเทือนไม่น้อย โดยเฉพาะการกระเพื่อมไปถึงฐานในต่างจังหวัดด้วย
00 ลักษณะที่เกิดขึ้นมันช่วยไม่ได้ที่จะต้องบอกว่านี่คือการ “ซื้อเสียงล่วงหน้า” เพราะหลายมาตรการ เริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปีถึงปลายปี ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่มีการระบุว่าจะมีการ “ยุบสภา” พอดี ถามว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ต้องเกี่ยวอย่างแรง เพราะเหมือนกับว่าเป็นการ “มัดจำ” ไว้ก่อน นั่นคือ ถ้าไม่เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพรรคประชาธิปัตย์กลับมาอีก มันก็ไม่มีหลักประกันจากนโยบายนี้ให้เดินต่อ ดังนั้นเพื่อความชัวร์ก็ต้องเลือก อยากให้ชาวบ้านคิดแบบนี้หรือเปล่า !!
00 เริ่มแล้วเหมือนกันสำหรับการชุมนุมของ เสื้อแดงที่ “นำเดี่ยว” โดย “เมียเหวง” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่ามีหลายกลุ่มไม่ยอมเข้าร่วม เป็นการแสดงให้เห็นถึง “ภาวะผู้นำ” ขณะเดียวกันที่สำคัญงานนี้ “กระสุน” ไม่มี “ท่อน้ำ” ไม่ไหล แถมยังเดินไปเดินมา แล้วก็กลับบ้าน อย่างนี้มาตากแดดให้ร้อนเสียเวลาทำไม
00 น่าจับตาไม่น้อยว่า คราวนี้ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ปากกล้าขาสั่นมาตลอด ประกาศว่าจะเข้าร่วมชุมนุมกับเสื้อแดง เอาเข้าจริงจะทำตามที่พูดหรือไม่ หลังจาก ศาลสั่งห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ก็ได้แต่เดาโดยพิจารณาจาก “สันดานเดิม” ว่า “ไม่กล้า” หรอก แต่ที่พูดนั้นก็เหมือนกับเรียกแขก สร้างความสำคัญให้ตัวเองเท่านั้น เพราะถ้าขืนขัดขืนคำสั่ง หรือทำ “พาซื่อ” ไปขึ้นเวทีรับรองคราวนี้ได้ “เข้าคุก” จริงๆ เป็นแน่แท้ ไม่เชื่อลองถาม ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ดูก็ได้ เพราะข่าวว่าเตรียมกล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียงเอาไว้พร้อมแล้ว อยากเสี่ยงก็เชิญตามสบาย
00 กลายเป็น “เหยื่อ” ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ 7 คนไทยที่อยู่ในกำมือของ “ฮุนเซน” เพราะนาทีนี้ถือว่าได้รุกล้ำอธิปไตยของเขมรสมบูรณ์แบบ ตามคำพูดการันตีของคณะผู้นำไทย ต่อไปก็ได้แต่ลุ้นว่าจะถูกเพิ่มข้อหา “จารกรรม” ฐานเข้าไปหาข่าวกลางทุ่งนา เพิ่มมาอีกหรือไม่ ขณะเดียวกันถ้าลองไปถามความรู้สึกลูกเมียของ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่มีต่อ "มาร์ค"ว่าจะเป็นอย่างไร กับท่าทีและมาตรการในการผลักดันไปติดคุกเขมร !!
00 แต่งานนี้สิ่งที่ต้องติดมากับปลายนวมก็คือเกม “หาเสียง” เอากับกลุ่ม “รากหญ้า” ที่ในอดีตเป็น “ฐานเสียง” ของฝ่ายตรงข้าม “ช่วงชิง” มาเป็นของประชาธิปัตย์ ซึ่งมีผล “กระเพื่อม” ไปไกลหลายเด้ง เด้งแรก เป็นการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงบวกทั้งในเมือง และต่างจังหวัด ให้ดึงกลับมาสนับสนุน
00 เด้งที่สอง ต้องไม่ลืมว่าบรรดา คนขับแท็กซี่ วินมอร์เตอร์ไซค์ รวมไปถึงแม่ค้า พ่อค้าหาบเร่แผงลอยที่มาหากินอยู่ในกรุงเทพฯส่วนใหญ่มีพื้นเพมาจากต่างจังหวัดที่อพยพเข้ามา โดยเฉพาะน่าจะร้อยละ 70-80 มาจากภาคอีสาน และภาคเหนือ เมื่อสร้างความประทับใจให้กับคนเหล่านี้ได้ มันก็ย่อมมีการ “บอกต่อ” ไปถึงญาติพี่น้องในต่างจังหวัดให้เปลี่ยนใจ เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่
00 ถามว่าจริงๆ แล้วในรูปธรรมมันอาจไม่ได้แตกต่างจาก “ยุคแม้ว” เท่าไหร่ ประเด็นมันอยู่ที่การ “สร้างกระแส” เอาใจใส่ แบบเอื้ออาทร สมัยก่อน ทักษิณ ชินวัตร มันก็ไม่เคยแจกรถแท็กซี่ แจก รถมอเตอร์ไซต์มากมายอะไรนัก อาจมีบ้างที่คัดเลือกมาแล้วมอบรถให้ไปขับ แต่จะเป็นลักษณะของการให้ความสำคัญ เชิดชู ทำให้คนเหล่านี้ที่ส่วนใหญ่ หากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วเปรียบเหมือน “พลเมืองชั้นสาม” ถูกรีดไถ ถูกเอาเปรียบ แต่ทักษิณ ใช้วิธีทำขึงขังทำให้เห็นว่า “เป็นพวกเดียวกัน” มันก็ได้ใจไปเต็มๆ
00 ขณะที่ รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้เห็นช่องทางแบบนี้ เมื่อได้จังหวะก็กระโดด “เข้าแทรก” หลังจาก “เครือข่ายแม้ว” เสียหลัก มัวแต่ยุ่งอยู่แต่ปัญหาภายใน นำมา “ต่อยอด” ขยายผลในเรื่องสวัสดิการ และให้สินเชื่อ เชื่อว่างานนี้ทำให้ต่อไปฐานเสียงของ เพื่อไทยสั่นสะเทือนไม่น้อย โดยเฉพาะการกระเพื่อมไปถึงฐานในต่างจังหวัดด้วย
00 ลักษณะที่เกิดขึ้นมันช่วยไม่ได้ที่จะต้องบอกว่านี่คือการ “ซื้อเสียงล่วงหน้า” เพราะหลายมาตรการ เริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปีถึงปลายปี ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่มีการระบุว่าจะมีการ “ยุบสภา” พอดี ถามว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ต้องเกี่ยวอย่างแรง เพราะเหมือนกับว่าเป็นการ “มัดจำ” ไว้ก่อน นั่นคือ ถ้าไม่เลือก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพรรคประชาธิปัตย์กลับมาอีก มันก็ไม่มีหลักประกันจากนโยบายนี้ให้เดินต่อ ดังนั้นเพื่อความชัวร์ก็ต้องเลือก อยากให้ชาวบ้านคิดแบบนี้หรือเปล่า !!
00 เริ่มแล้วเหมือนกันสำหรับการชุมนุมของ เสื้อแดงที่ “นำเดี่ยว” โดย “เมียเหวง” ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่ามีหลายกลุ่มไม่ยอมเข้าร่วม เป็นการแสดงให้เห็นถึง “ภาวะผู้นำ” ขณะเดียวกันที่สำคัญงานนี้ “กระสุน” ไม่มี “ท่อน้ำ” ไม่ไหล แถมยังเดินไปเดินมา แล้วก็กลับบ้าน อย่างนี้มาตากแดดให้ร้อนเสียเวลาทำไม
00 น่าจับตาไม่น้อยว่า คราวนี้ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ปากกล้าขาสั่นมาตลอด ประกาศว่าจะเข้าร่วมชุมนุมกับเสื้อแดง เอาเข้าจริงจะทำตามที่พูดหรือไม่ หลังจาก ศาลสั่งห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ก็ได้แต่เดาโดยพิจารณาจาก “สันดานเดิม” ว่า “ไม่กล้า” หรอก แต่ที่พูดนั้นก็เหมือนกับเรียกแขก สร้างความสำคัญให้ตัวเองเท่านั้น เพราะถ้าขืนขัดขืนคำสั่ง หรือทำ “พาซื่อ” ไปขึ้นเวทีรับรองคราวนี้ได้ “เข้าคุก” จริงๆ เป็นแน่แท้ ไม่เชื่อลองถาม ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ดูก็ได้ เพราะข่าวว่าเตรียมกล้องถ่ายรูป เทปบันทึกเสียงเอาไว้พร้อมแล้ว อยากเสี่ยงก็เชิญตามสบาย
00 กลายเป็น “เหยื่อ” ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ 7 คนไทยที่อยู่ในกำมือของ “ฮุนเซน” เพราะนาทีนี้ถือว่าได้รุกล้ำอธิปไตยของเขมรสมบูรณ์แบบ ตามคำพูดการันตีของคณะผู้นำไทย ต่อไปก็ได้แต่ลุ้นว่าจะถูกเพิ่มข้อหา “จารกรรม” ฐานเข้าไปหาข่าวกลางทุ่งนา เพิ่มมาอีกหรือไม่ ขณะเดียวกันถ้าลองไปถามความรู้สึกลูกเมียของ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ที่มีต่อ "มาร์ค"ว่าจะเป็นอย่างไร กับท่าทีและมาตรการในการผลักดันไปติดคุกเขมร !!
