xs
xsm
sm
md
lg

มิจฉาทิฐิของทักษิณร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู 76 ลูก

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

นช. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นผู้นำรัฐบาล ระหว่างวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544-18 กันยายน 2549 มีรายงานและมีข่าวที่เกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินของเขาดังนี้

ปี 2544 เมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งมูลค่าสินทรัพย์ ปรากฏเป็นหลักฐานกับ ป.ป.ช. 49,000 ล้านบาท ปี 2549 ก่อนเกิดรัฐประหาร มีประจักษ์เป็นหลักฐานว่า มีการขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก แห่งสิงคโปร์มีมูลค่าประมาณ 73,000 ล้านบาท

ที่ไม่ปรากฏเป็นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.

สื่อประเทศอังกฤษ เสนอข่าวหลังทักษิณถูกถอนวีซ่า มีการอายัดทรัพย์สินของทักษิณมีมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 140,000 ล้านบาท สื่อประเทศมาเลเซียเสนอข่าว ทักษิณมีเงิน 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 192,500 ล้านบาท ก่อนจะขาดทุนจากการเก็งกำไรน้ำมัน และอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 17,500 ล้านบาท ปี 2552 มีคนพบว่าทักษิณดอดไปประเทศมาเลเซีย เชื่อว่าคงเข้าไปจัดการบัญชีทรัพย์สินของตนที่มาเลเซีย

ทักษิณบอกให้ประชาชนเป็นอยู่อย่างพอเพียง แต่จากต้นปี 2544 ถึงปลายปี 2549 ระยะเวลาประมาณ 6 ปี ทรัพย์สินเขา 5 หมื่นล้าน เพิ่มมาเป็น 5 แสนล้าน มูลค่าทรัพย์สินเพิ่ม 10 เท่า

มิจฉาอาชีวะเท่านั้น ที่จะทำให้สินทรัพย์ของเอกชนหรือประชาชนมีมูลค่าเพิ่มสูงแบบเหลือเชื่อ อาชีพทางอบาย นักกีฬาอาชีพ นักร้อง นักแสดง การพนัน ค้าสิ่งเสพติด ขายเหล้าเบียร์ โจรใส่สูท รวมทั้งจากการปั่นเอาจากตลาดหุ้น ทำให้เอกชนหรือประชาชนมั่งคั่งแบบผิดปกติได้

มิจฉาอาชีวะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ มากกว่าจะเป็นประโยชน์ต่อระบบหรือต่อสังคม จะก่อให้เกิดปัญหา สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไม่มั่นคง ปรัชญาของระบบที่ดี คือต้องทำให้ระบบให้เกิดความมั่นคง อาชีพอะไรที่ทำให้เอกชนมั่งคั่ง อาชีพนั้นอาจจะเอารัดเอาเปรียบระบบ และทำให้ระบบไม่มั่นคง รัฐต้องสนับสนุนเอกชน และประชาชน ประกอบการสัมมาอาชีวะมากกว่าสนับสนุนประกอบการมิจฉาอาชีวะ

ความอยากร่ำอยากรวยของทักษิณมีมาแต่ต้น ลาออกจากราชการมาทำหนังเร่ ประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจช่วงที่ประเทศไทยเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งแรกระหว่างปี 2525-2535 มีคดีเกี่ยวเช็คปรากฏอยู่ ระยะหลังมาเปิดบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ กิจการก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

ถุงขนม 2 ล้านบาท เป็นตัวบ่งบอกถึงรูปแบบและวิธีการประกอบอาชีพของทักษิณ

จุดเริ่มต้นความมั่งคั่ง “ชัยวัฒน์ สุรวิชัย” นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย 14 ตุลาคม สมาชิกพรรคพลังธรรม ที่เคยร่วมงานกับทักษิณ เขียนจดหมายนอกคุกถึง “โอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง หลานรัก” กล่าวถึงคำพูดของทักษิณ..“หากไม่มี บิ๊กจ๊อดผมก็คงไม่มีวันนี้” หลานคงรู้ว่าเป็นเรื่องการให้สัมปทาน ซึ่งคุณพ่อต้องให้อะไรจึงได้มา แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและหลักธรรมาภิบาล ซึ่งนักธุรกิจที่ดีและกล่าวอวดตัวว่าดี “ไม่ควรทำ” ..

..“ผมพอแล้วครับ ประเทศให้ผมมากแล้ว ต่อไปนี้ ผมจะขอตอบแทนคุณแผ่นดิน หากผมทำให้ประเทศเจริญขึ้น ผมก็ได้ทางอ้อมอยู่แล้ว (จากหุ้นที่เพิ่มขึ้น) ขอให้มาช่วยกันนะครับ”..

จากหากินทางฉายหนังเร่กลายมาเป็นเศรษฐีใหม่ ช่วงเวลาประมาณ 25 ปี และได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ทักษิณเป็นผู้ที่พูดฟังแล้วฟังดี (มิจฉาวาจา) แต่การกระทำเป็นคนละเรื่อง แสดงถึงความเป็นคนคดในข้องอในกระดูกมาแต่แรก มีมิจฉาทิฐิอยู่ในกมลสันดาน เอารัดเอาเปรียบประเทศชาติ เอารัดเอาเปรียบเอกชนด้วยกัน เอารัดเอาเปรียบประชาชน พูดเอาแต่ตัวได้ ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มีใจเป็นนักกีฬา เป็นตัวอย่างที่เลวแก่เยาวชน เพื่อความมั่งคั่งแห่งตน คิดกระทั่งจะเป็นประธานาธิบดีของประเทศ

ผู้เขียนค่อนข้างทราบถึงความเป็นไปของกลไกเศรษฐกิจโลก เงินเหรียญสหรัฐเริ่มพังทลายในปี 2543 รัฐบาลทักษิณมาในปี 2544 เป็นช่วงที่เงินไหลออกจากอเมริกามาท่วมโลก ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยดีขึ้น ทุนสำรองฯ ค่าเงินบาท ตลาดหุ้น ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น มีผลทำให้ประเทศไทยสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดกลางปี 2547 ใช้หนี้ได้ก่อนกำหนดถึง 2 ปี

เศรษฐกิจไทยยุคทักษิณดี เกิดจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินไหลมาท่วมโลก ท่วมไทย ทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ไม่ใช่เกิดจากฝีมือการบริหารประเทศของทักษิณ แต่แทนที่ทักษิณจะรู้เท่าทัน กลับฉวยโอกาสเอาประโยชน์ใส่ตนอย่างเดียว รู้กันในวลี “คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” เงินเฟ้อเป็นเรื่องสำคัญ หากเกิดขึ้นแล้วไม่มีทางลง และจะต่อเนื่อง เงินเฟ้อยุคทักษิณพุ่งสูงมาก

ระยะหลังทักษิณมีเครื่องมือประกอบการที่สำคัญ 2 อย่าง 1) เงิน 2) สื่อ ที่ทำให้ทักษิณมีชัยชนะทางการเมืองอย่างท่วมท้น สิ่งทั้ง 2 อย่างนี้เปรียบเหมือนดาบ 2 คมที่คมมาก หากใช้ทางสัมมาทิฐิ จะทำให้สังคมเจริญรุ่งเรืองอย่างรุ่งโรจน์ได้ แต่หากใช้ทางมิจฉาทิฐิจะนำความล่มจมมาสู่สังคมอย่างยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ทักษิณเลือกใช้เครื่องมือทั้ง 2 ในทางมิจฉาทิฐิ ทักษิณใช้สื่อทุกเช้าวันเสาร์ตั้งแต่ปี 2544 เน้นตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่ดีขึ้น ว่าเป็นฝีมือของเขา โดยเฉพาะเรื่องการใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ และการสูงขึ้นของราคายางเอามาเน้นย้ำเป็นพิเศษ ทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อถึงขั้นหลงใหลว่าทักษิณเป็นสุดยอดผู้นำ

แต่คนอีกส่วนหนึ่งไม่เชื่อ เศรษฐกิจดีเพียงวาจา (มิจฉาวาจา) แต่เบื้องหลังมีการใช้ตำแหน่งหน้าที่หาประโยชน์ส่วนตนอย่างสุดเหวี่ยง ส่วนใหญ่หาประโยชน์ผ่านตลาดทุน เช่น การนำ 5 รัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น และการขายชินคอร์ปให้เทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ ใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางนำเงินไปไว้ที่ต่างประเทศ ถึงทุกวันนี้เป็นเวลาถึง 9 ปีแล้ว ทักษิณยังคงใช้สื่ออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าวิดีโอลิงก์ หรือโฟนอิน

ความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น ทำให้ทักษิณหลงตัวและลืมตน คิดการใหญ่โตขึ้นไปอีก การใช้สื่อแบบปลุกระดม ทำให้คนในสังคมแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ความรุนแรงของคนในชาติ เริ่มต้นในรัฐบาลทักษิณอย่างมีนัยสำคัญ เป็นความเสียหายที่ยากที่จะประเมินค่าได้ และยากที่จะให้ฟื้นคืนสู่สภาพเดิมได้ ระเบิดปรมาณู 2 ลูกทำความเสียหายให้เฉพาะเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นเท่านั้น

แต่ปรมาณูทางมิจฉาทิฐิของทักษิณไม่ได้ทำลายเฉพาะบางเมือง แต่ทำลายจังหวัดแต่ละจังหวัด คนแตกแยกทุกระดับชั้น ตั้งแต่ล่างสุดถึงบทสุด ครอบครัวแตกแยก เพื่อนฝูงแตกแยก คนในองค์กรแตกแยก คนหน่วยงานแตกแยก คนในสังคมแตกแยก ประเทศไทยตายทั้งเป็น

มิจฉาทิฐิของทักษิณถูกทิ้งลงทุกจังหวัด ผ่านสื่อร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู 76 ลูก
 
กำลังโหลดความคิดเห็น