xs
xsm
sm
md
lg

ไพร่-อำมาตย์…สงครามของคนหลงยุค!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

พักนี้ใครๆ ต่างก็รู้สึกพิกลๆ กับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงนำมาพูดนำมากล่าวและรณรงค์กันอยู่ นั่นคือการกล่าวถึงเรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์ และการรณรงค์เรื่องให้บรรดาไพร่ล้มล้างอำมาตย์

คิดจะด่า คิดจะว่าใครก็ต้องใส่ข้อความต่อท้ายว่าเป็นอำมาตย์หรือสมุนอำมาตย์หรือลิ่วล้ออำมาตย์เข้าไปด้วย ราวกับว่าสิ่งที่เรียกว่าอำมาตย์นั้นหมายถึงความเลวร้ายทั้งหลาย ที่จะต้องทำลายล้างให้หมดสิ้น

ในขณะเดียวกันก็ชักชวนใครต่อใครให้มาเป็นไพร่ แล้วเรียกพวกตัวว่าเป็นพวกไพร่ จากนั้นก็รณรงค์ให้พวกไพร่ร่วมกันล้มล้างทำลายอำมาตย์ เปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อสร้างประเทศไทยใหม่

แม้ไม่พูดกันให้ชัดๆ ก็กล่าวได้ว่านี่คือการประกาศทำสงครามชนชั้นที่ชนชั้นหนึ่งกระทำต่ออีกชนชั้นหนึ่ง และในเรื่องที่ทำกันอยู่ก็คือ การประกาศทำสงครามชนชั้นที่ประกาศสามัคคีชนชั้นไพร่เพื่อให้โค่นล้มทำลายชนชั้นอำมาตย์นั่นเอง

ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และใครต่อใครอีกหลายคนที่ดูทีท่าก็เป็นคนเฉลียวฉลาด มีความรู้ มีสติปัญญาเป็นอันมาก ว่าไฉนจึงกลับกลายมาเป็นคนที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดได้

เพราะคนพูดเรื่องนี้และทำเรื่องนี้ไม่ใช่คนในยุคปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องราวของคนในปี พ.ศ. 2520 และก่อนหน้านั้นไปประมาณ 10 ปี หากคนประเภทนี้ยังหลงเหลืออยู่ในยุคปัจจุบันก็ต้องกล่าวได้ว่าเป็นพวกหลงยุค

ทำไมจึงกล่าวว่าเรื่องของสงครามชนชั้นเป็นเรื่องของคนหลงยุค เป็นเรื่องราวของคนใน พ.ศ.2520 หรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป 10 ปี ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้ทางชนชั้นนั้นไม่ใช่นวัตกรรมใหม่หรือความคิดใหม่ของคนในยุคนี้หรือคนที่เที่ยวพูดเรื่องนี้อยู่แต่ประการใดเลย

เป็นเรื่องของการเอาขี้ปากของคาร์ลมาร์กซ์มาพูด และเป็นเรื่องของคนที่ยังฝังใจจำเหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรมในประเทศจีน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมเกี่ยวกับการต่อสู้ทางชนชั้นครั้งสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์

การต่อสู้ทางชนชั้นเป็นเรื่องแนวคิดทางปรัชญาของคาร์ลมาร์กซ์และค่อยๆ พัฒนาต่อมาตามยุคตามสมัย และในท่ามกลางการพัฒนาทางความคิดนี้ก็เกิดการสู้รบเข่นฆ่าประหัตประหารกัน จนโลกต้องอยู่ในยุคของสงครามร่วมศตวรรษ

และมันได้ปรากฏเป็นการต่อสู้การทำลายล้างทางสังคมครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ที่เรียกว่ายุคสมัยการปฏิวัติวัฒนธรรม มีการประกาศทำสงครามทางชนชั้นให้ชนชั้นกรรมาชีพหรือผู้ใช้แรงงานโค่นล้มทำลายชนชั้นนายทุน

มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายและความเสียหายสุดคณานับ กระทั่งเกิดความแตกแยกครั้งใหญ่หลวงขึ้นในประเทศจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งส่งผลลุกลามออกไปยังขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลกอีกด้วย

ภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็เกิดการต่อสู้ภายใน จนในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ก่อตั้งและทำการต่อสู้มาถึง 30 ปีก็ต้องล่มสลายลง และไม่สามารถจัดประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 5 เพื่อฟื้นฟูพรรคขึ้นมาใหม่ได้จนกระทั่งถึงวันนี้

แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคนั้น แม้ส่วนหนึ่งได้ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา แต่บางคนก็ได้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยตามนโยบาย 66/2523 ของรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

คนเหล่านั้นรวมทั้งบรรดานิสิตนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่เข้าป่าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้กลับคืนสู่อ้อมอกของมาตุภูมิอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าได้รับใบบุญของนโยบายนั้น และสามารถยืนอยู่ได้ในทุกวันนี้

แต่ก็ไม่วายที่บางคนในวันนี้เมื่อเข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทยแล้วก็ได้ลุกขึ้นชี้หน้าด่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ว่าเป็นอำมาตย์ โดยหาได้คำนึงถึงพระคุณที่ได้รับใบบุญให้อยู่รอดและเป็นผู้เป็นคนมาได้ถึงวันนี้แต่ประการใดไม่

พรรคคอมมิวนิสต์อื่นๆ ในเอเชียและในโลกที่เดินตามทางการต่อสู้ทางชนชั้นก็ได้ล่มสลายตามๆ กัน แม้กระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์มลายาที่ได้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลมาเลเซียอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ก็ได้ตกลงทำสนธิสัญญากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเพื่อยุติสงคราม ทำให้ประเทศไทยและพื้นที่ชายแดนไทยรวมทั้งประเทศมาเลเซียมีสันติภาพเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น

ประมาณปลายปีที่ 10 ของการปฏิวัติวัฒนธรรม เหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้สำรวจตรวจสอบผลการปฏิวัติวัฒนธรรมแล้วได้ออกคำสั่งให้ยุติการต่อสู้ทางชนชั้นและสงครามทางชนชั้นนั้นเสีย คืนความชอบธรรมให้แก่เติ้งเสี่ยวผิงและเป็นบาทฐานให้กับเติ้งเสี่ยวผิงในการก้าวสู่ฐานผู้นำรุ่นที่สองของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลาต่อมา

เรื่องราวการต่อสู้ทางชนชั้นสิ้นสุดยุติและเงียบหายไปตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา และไม่มีใครคิดว่ามันจะฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในประเทศไทยของเรา

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคอมมิวนิสต์หลงยุคที่อยู่ในวัยแก่เฒ่าเหลาเหย่และอาจจะเพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลกว่า 3 ทศวรรษ หรือความจำเลอะเลือน ทำให้สัญญาขันธ์วิปริตย้อนยุคนำความคิดในยุค 2520 กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยการออกเอกสารชี้นำไปยังแกนนำคนเสื้อแดงบางกลุ่มให้ผนึกและอาศัยกำลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อฟื้นฟูพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขึ้นมาใหม่และดำเนินการต่อสู้ทางชนชั้นอีกครั้งหนึ่ง

มีการจับกลุ่มศึกษาและอภิปรายเรื่องนี้กันหลายหมู่หลายคณะหลายครั้งหลายหน และส่วนใหญ่ก็ได้ปฏิเสธการชี้นำนั้นที่ถึงแม้ว่าจะอ้างว่าเป็นการชี้นำส่วนตัว แต่ก็ยังแฝงนัยฐานะเก่าในอดีตในการชี้นำนั้นด้วย ดังนั้นก็ยังคงมีส่วนน้อยที่ยอมรับนับถือและนำเอาคำชี้นำนี้ไปสู่การปฏิบัติ

จะว่าเป็นความซวยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือกลุ่มเสื้อแดงบางกลุ่มก็ยากจะคาดคิด แต่ในที่สุดความคิดเรื่องสงครามทางชนชั้นก็ได้ถูกนำมาใช้ในการชี้นำทางการเมืองให้กับการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง

จึงเป็นที่มาของการกำหนดเรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์ ตลอดจนการปลุกระดมให้คนเป็นไพร่ และปลุกระดมให้ไพร่ไปโค่นล้มอำมาตย์ ซึ่งเป็นกระบวนการประกาศและทำสงครามทางชนชั้นตามการชี้นำของคอมมิวนิสต์หลงยุคทั้งสิ้น

การชี้นำแบบนี้คือการชี้นำทางการเมืองที่ผิดพลาดและนำการต่อสู้ไปลงปลักลงเหวโดยแท้ เหมาเจ๋อตงผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสามยิ่งใหญ่ คือ นักลัทธิมาร์กซ์-เลนินผู้ยิ่งใหญ่ ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ยังเคยกล่าวเอาไว้ว่าแนวทางการเมืองนั้นจะเป็นสิ่งที่กำหนดแพ้ชนะ

เหมาเจ๋อตงกล่าวว่า ถ้าการเมืองถูกต้อง ก็จะได้มาซึ่งดินแดน กองทัพ และอำนาจรัฐ แต่ถ้าแนวทางการเมืองผิดพลาด ถึงแม้มีอยู่ก็จะเสียไปทั้งดินแดน กองทัพและอำนาจรัฐ

การชี้นำทางการเมืองหรือการกำหนดแนวทางทางการเมืองนั้น ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยหลักปรัชญาวิภาษวิธีวัตถุนิยม และหลักวัตถุนิยมประวัติศาสตร์เท่านั้น ยังต้องอาศัยความเป็นจริงของประเทศและสังคมนั้นๆ ด้วย

ความเป็นจริงดังกล่าวนั้นคือเลือดเนื้อชีวิตและจิตวิญญาณของการทำให้หลักปรัชญาวิภาษวิธีวัตถุนิยมและหลักวัตถุนิยมประวัติศาสตร์สามารถก่อบทบาทและอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำชัยชนะมามอบให้ได้ หาไม่แล้วก็คือการทำลายตัวเองที่มีอานุภาพมากที่สุดเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันนี้ประเทศไทยได้พ้นจากยุคไพร่ ยุคทาส ยุคเลก มาช้านานแล้ว ดังนั้นการกำหนดการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างไพร่กับอำมาตย์ การชักชวนคนให้มาเป็นไพร่ การตราหน้าใครต่อใครว่าเป็นอำมาตย์ จึงขาดจิตวิญญาณและชีวิตของความเป็นจริง และเป็นสิ่งที่ทำให้แนวทางการเมืองที่นำมาชี้นำนั้นเป็นเรื่องของเน่าของเสีย และนำมาซึ่งความปราชัยในที่สุด

วันนี้ฟันธงไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า แนวทางการต่อสู้เรื่องไพร่-อำมาตย์ และการประกาศสงครามทางชนชั้นที่กำลังดำเนินอยู่นี้คือความผิดพลาดล้มเหลวที่กำลังนำความปราชัยมาสู่ขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดงอย่างไม่ต้องสงสัย

มีคำพังเพยจีนโบราณอยู่บทหนึ่งซึ่งไม่เคยล้าสมัยเลย นั่นคือคำพังเพยที่ว่า “สวรรค์ทรงความยุติธรรมเสมอ” และหนึ่งในความหมายของคำพังเพยนี้ก็คือ สวรรค์ไม่ประทานความสมบูรณ์พร้อมให้แก่ผู้ใด

เมื่อสวรรค์ประทานความดีเด่นด้านหนึ่ง ก็จะประทานความอ่อนด้อยในอีกด้านหนึ่งให้มาคู่กันอยู่เสมอ จึงทำให้สรรพสิ่งดำรงความสมดุลและดำเนินไปตามที่จะพึงเป็น

สวรรค์มอบความเฉลียวฉลาดและความเก่งกาจให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ขณะเดียวกัน สวรรค์ก็ได้ประทานความผิดพลาดในการใช้คนอันมหันต์มาให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!
กำลังโหลดความคิดเห็น