ASTVผู้จัดการรายวัน – บอร์ด ททท.เห็นชอบแผนแม่บทการพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงการตลาดระยะ 5 ปี 2553-2557 งบประมาณ 180 ล้านบาท เน้นทำระบบฐานข้อมูลแบบบูรณาการใน 7 ยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว ททท.เดินแผนสอง ฮาร์ดเซล ดึงนักท่องเที่ยวตลาดจีน หลังรัฐบาลขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.บ.ความั่นคง ยอมรับกระทบขวัญนักท่องเที่ยวเอเชีย มากกว่าตลาดยุโรป
นายวิชัย ศรีขวัญ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบ แผนแม่บทการพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงการตลาดระยะ 5 ปี ประจำปีงบประมาณ 2553-2557 รวมใช้งบประมาณ 180 ล้านบาท จากงบประจำปีปกติ โดย ททท.จะต้องจัดทำบันทึกความเข้าใจในข้อตกลงร่วมกัน(MOU) ในการลิงค์ข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อมารวมอยู่ในฐานข้อมูลของแผนแม่บทฯที่ททท.จะจัดทำขึ้นนับจากนี้ไป
ส่วนรูปแบบการทำงาน ต้องมีทีมวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อประเมินแนวโน้มในอนาคต ซึ่งฐานข้อมูลนี้ เมื่อจัดทำเสร็จจะเป็นประโยชน์ต่อคนในวงการท่องเที่ยวทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่สามารภนำไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจทำธุรกิจ และ การจัดทำแผนการตลาดประจำปีของททท.
**เปิดแผนแม่บท
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า แผนแม่บทประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ คือ 1.การนำเข้าข้อมูลสู่ระบบฐานข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงการตลาด 2.การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมพัฒนาฐานข้อมูล 3.การพัฒนาระบบไอที เพื่อสนับสนุนการพัฒนาฐานข้อมูล 4.การพัฒนาบุคลกร เพื่อการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล 5.การกำหนดช่องทาง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับกลุ่มเป้าหมาย 6.การประชาสัมพันธ์ให้ภาคส่วนต่างๆได้รับรู้และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล (Database)และ7.การปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัย พร้อมการติดตามและประเมินผล เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
จุดประสงค์ของการจัดทำฐานข้อมูลครั้งนี้ ต้องการใช้เป็นข้อมูลกลางในการทำงานของทุกภาพส่วน ซึ่งททท.จะนำข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนท่องเที่ยว และ ง่ายต่อการจัดทำแผนงานประจำปี โดยต้องโดยตั้งคำถามเหมือนที่ผ่านมา
***ททท.งัดแผนสองมุ่งฮาร์ดเซล
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า จากการที่ รัฐบาลขยายการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เบื้องต้นจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวบ้างในบางตลาด เช่น จีน ฮ่องกง และ เวียดนาม ขณะที่ตลาดยุโรป อเมริกา ยังไม่ได้รับผลกระทบ
ดังนั้นเบื้องต้น ททท.จะปรับแผนรับมือเพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้ทันช่วงเทศาลสงกรานต์ปีนี้ ล่าสุด เตรียมหารือแนวทางส่งเสริมตลาดจีน ที่ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ราว 12-15 เม.ย. และ ในวันแรงงานหรือเมย์เดย์ เดือนพ.ค.ของทุกปี โดยสำนักงาน ททท.ประจำกรุงปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้จึงได้ใช้แผนการตลาดเชิงรุก หารือกับบริษัทนำเที่ยวในประเทศจีน เสนอเงื่อนไขว่า หากบริษัทนำเที่ยวใดจัดชาร์เตอร์ไฟล์ทเข้าประเทศไทยที่เดสตินั่นกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้ว กังวลจะ ไม่ปลอดภัยก็ให้จัดชาร์เตอร์ไฟล์ทไปลงที่ภูเก็ต และเดสตินั่นอื่นๆเป็นทางเลือกถึงตรงแหล่งท่องเที่ยวทันที่ โดย ททท.พร้อมจะอำนวยความสะดวกให้ทุกแห่ง
นอกจากนั้นยังมีแผนจัดโปรโมชั่นร่วมกับบริษัทนำเที่ยว เพื่อเร่งการตัดสินใจให้แก่นักท่องเที่ยว
“สถานการณ์เช่นนี้ ททท.จะปรับการทำงานเป็นฮาร์ดเซล และชะลอแผนซอฟเซลไปชั่วคราว จนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องเชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และ เมย์เดย์ ให้มาก หลังจากนั้นเข้าสู่โลว์ซีซั่นซึ่งจะเป็นตลาดของภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ทางการเมือง “
ขณะนี้หน่วยงานกลางด้านการท่องเที่ยวของจีน ยังไม่ได้ประกาศยืดระยะเวลาการขอให้นักท่องเที่ยวจีนงดการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แสดงว่ารัฐบาลจีนเริ่มเข้าใจและมองว่าการชุมนุมนี้คงไม่มีความรุนแรง อย่างไรก็ตามสมาคมหวังว่าเหตุการณ์จะไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ซึ่งทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าการเข้าเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนเมษายนนี้ จะปรับตัวดีขึ้นมีจำนวนชาร์เตอร์ไฟล์ท เดินทางเข้ามาได้ถึง 100 เที่ยว ลดลงเล็กน้อยจากที่ประมาณว่าจะได้กว่า 100 เที่ยว
***สทท.เผยการเมืองฉุดท่องเที่ยวสูญ2พันลบ.***
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ สทท. กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่ประชุมผู้บริหาร สทท.เห็นตรงกันว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยพบว่านักท่องเที่ยวชะลอแผนการเดินทางมาประเทศไทย โดยเฉพาะที่เดสติเนชั่นกรุงเทพฯและพัทยาและจากผลการสำรวจพบว่า สถิติการเดินทางนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนามบินสุวรรณภูมิลดลงเฉลี่ยวันละ 15% ตั้งแต่เริ่มประกาศใช้ พ.ร.บ.ความั่นคงในวันที่ 12 มี.ค. หรือคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปคือ 7,000 คน ต่อวัน จากปกติ 35,000 คน เหลือ 28,000 คน ซึ่งที่ด่านสุวรรณภูมิมีจำนวนนักท่องเที่ยว 70% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมาประเทศไทย คิดเป็นรายได้ที่หายไป 140 ล้านบาทต่อวัน จนถึงขณะนี้คาดว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สททท.เตรียมขอความร่วมมือสมาชิกสทท.แต่ละจังหวัด จัดกิจกรรมทำบุญทั่วประเทศ ณศาลหลักเมืองของแต่ละจังหวัด หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตลอดเดือน เม.ย.นี้ เพราะเห็นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเจอผลกระทบมาอย่างน้อย 2-3 ปี นอกจากนั้น เดือน พ.ค. สททท.เตรียมจัดสัมมนาใหญ่เรื่อง “ผลกระทบวิกฤติอุตสาหกรรมและประโยชน์ที่ได้จากการท่องเที่ยว”
นายวิชัย ศรีขวัญ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบ แผนแม่บทการพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงการตลาดระยะ 5 ปี ประจำปีงบประมาณ 2553-2557 รวมใช้งบประมาณ 180 ล้านบาท จากงบประจำปีปกติ โดย ททท.จะต้องจัดทำบันทึกความเข้าใจในข้อตกลงร่วมกัน(MOU) ในการลิงค์ข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อมารวมอยู่ในฐานข้อมูลของแผนแม่บทฯที่ททท.จะจัดทำขึ้นนับจากนี้ไป
ส่วนรูปแบบการทำงาน ต้องมีทีมวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อประเมินแนวโน้มในอนาคต ซึ่งฐานข้อมูลนี้ เมื่อจัดทำเสร็จจะเป็นประโยชน์ต่อคนในวงการท่องเที่ยวทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่สามารภนำไปใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจทำธุรกิจ และ การจัดทำแผนการตลาดประจำปีของททท.
**เปิดแผนแม่บท
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า แผนแม่บทประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ คือ 1.การนำเข้าข้อมูลสู่ระบบฐานข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงการตลาด 2.การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อร่วมพัฒนาฐานข้อมูล 3.การพัฒนาระบบไอที เพื่อสนับสนุนการพัฒนาฐานข้อมูล 4.การพัฒนาบุคลกร เพื่อการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล 5.การกำหนดช่องทาง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้กับกลุ่มเป้าหมาย 6.การประชาสัมพันธ์ให้ภาคส่วนต่างๆได้รับรู้และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล (Database)และ7.การปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัย พร้อมการติดตามและประเมินผล เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
จุดประสงค์ของการจัดทำฐานข้อมูลครั้งนี้ ต้องการใช้เป็นข้อมูลกลางในการทำงานของทุกภาพส่วน ซึ่งททท.จะนำข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนท่องเที่ยว และ ง่ายต่อการจัดทำแผนงานประจำปี โดยต้องโดยตั้งคำถามเหมือนที่ผ่านมา
***ททท.งัดแผนสองมุ่งฮาร์ดเซล
นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า จากการที่ รัฐบาลขยายการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เบื้องต้นจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวบ้างในบางตลาด เช่น จีน ฮ่องกง และ เวียดนาม ขณะที่ตลาดยุโรป อเมริกา ยังไม่ได้รับผลกระทบ
ดังนั้นเบื้องต้น ททท.จะปรับแผนรับมือเพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้ทันช่วงเทศาลสงกรานต์ปีนี้ ล่าสุด เตรียมหารือแนวทางส่งเสริมตลาดจีน ที่ปกติจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ราว 12-15 เม.ย. และ ในวันแรงงานหรือเมย์เดย์ เดือนพ.ค.ของทุกปี โดยสำนักงาน ททท.ประจำกรุงปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้จึงได้ใช้แผนการตลาดเชิงรุก หารือกับบริษัทนำเที่ยวในประเทศจีน เสนอเงื่อนไขว่า หากบริษัทนำเที่ยวใดจัดชาร์เตอร์ไฟล์ทเข้าประเทศไทยที่เดสตินั่นกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว แล้ว กังวลจะ ไม่ปลอดภัยก็ให้จัดชาร์เตอร์ไฟล์ทไปลงที่ภูเก็ต และเดสตินั่นอื่นๆเป็นทางเลือกถึงตรงแหล่งท่องเที่ยวทันที่ โดย ททท.พร้อมจะอำนวยความสะดวกให้ทุกแห่ง
นอกจากนั้นยังมีแผนจัดโปรโมชั่นร่วมกับบริษัทนำเที่ยว เพื่อเร่งการตัดสินใจให้แก่นักท่องเที่ยว
“สถานการณ์เช่นนี้ ททท.จะปรับการทำงานเป็นฮาร์ดเซล และชะลอแผนซอฟเซลไปชั่วคราว จนกว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องเชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และ เมย์เดย์ ให้มาก หลังจากนั้นเข้าสู่โลว์ซีซั่นซึ่งจะเป็นตลาดของภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ทางการเมือง “
ขณะนี้หน่วยงานกลางด้านการท่องเที่ยวของจีน ยังไม่ได้ประกาศยืดระยะเวลาการขอให้นักท่องเที่ยวจีนงดการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แสดงว่ารัฐบาลจีนเริ่มเข้าใจและมองว่าการชุมนุมนี้คงไม่มีความรุนแรง อย่างไรก็ตามสมาคมหวังว่าเหตุการณ์จะไม่ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ซึ่งทำให้มั่นใจมากขึ้นว่าการเข้าเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเดือนเมษายนนี้ จะปรับตัวดีขึ้นมีจำนวนชาร์เตอร์ไฟล์ท เดินทางเข้ามาได้ถึง 100 เที่ยว ลดลงเล็กน้อยจากที่ประมาณว่าจะได้กว่า 100 เที่ยว
***สทท.เผยการเมืองฉุดท่องเที่ยวสูญ2พันลบ.***
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ สทท. กล่าวว่า จากการประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่ประชุมผู้บริหาร สทท.เห็นตรงกันว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยพบว่านักท่องเที่ยวชะลอแผนการเดินทางมาประเทศไทย โดยเฉพาะที่เดสติเนชั่นกรุงเทพฯและพัทยาและจากผลการสำรวจพบว่า สถิติการเดินทางนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนามบินสุวรรณภูมิลดลงเฉลี่ยวันละ 15% ตั้งแต่เริ่มประกาศใช้ พ.ร.บ.ความั่นคงในวันที่ 12 มี.ค. หรือคิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไปคือ 7,000 คน ต่อวัน จากปกติ 35,000 คน เหลือ 28,000 คน ซึ่งที่ด่านสุวรรณภูมิมีจำนวนนักท่องเที่ยว 70% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมาประเทศไทย คิดเป็นรายได้ที่หายไป 140 ล้านบาทต่อวัน จนถึงขณะนี้คาดว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สททท.เตรียมขอความร่วมมือสมาชิกสทท.แต่ละจังหวัด จัดกิจกรรมทำบุญทั่วประเทศ ณศาลหลักเมืองของแต่ละจังหวัด หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตลอดเดือน เม.ย.นี้ เพราะเห็นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเจอผลกระทบมาอย่างน้อย 2-3 ปี นอกจากนั้น เดือน พ.ค. สททท.เตรียมจัดสัมมนาใหญ่เรื่อง “ผลกระทบวิกฤติอุตสาหกรรมและประโยชน์ที่ได้จากการท่องเที่ยว”