ASTVผู้จัดการรายวัน – “โอเรียนทอล พริ้นเซส” เดินเกมรุกปี 2553 ยึด 4 ปัจจัยเดิม “สินค้า–สาขา-สมาชิก-สื่อสารตลาด” ทุ่มงบรวม 810 ล้านบาท ลุยเปิดเพิ่มอีก 20 สาขา เผยปีที่แล้วเติบโตถึง 21% ลั่นปีนี้สมาชิกครบ 1 ล้านรายแน่
นางสาวพาสนา อินทราทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอ. พี. เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ โอเรียนทอล พริ้นเซส เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปีนี้ของโอเรียนทอล พริ้นเซสว่า ยังคงยึดกลยุทธ์หลัก 4 ประการสำคัญคือ 1.การออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง 2.การขยายสาขา 3.การเพิ่มสมาชิก และ 4.การสื่อสารการตลาด
โดยปีนี้จะออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ประมาณ 300 เอสเคยู ล่าสุดคือ คอลเลคชั่นพิเศษ “มายา ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ประกอบด้วยชุดน้ำหอมและเครื่องสำอางใน 5 รูปแบบ ซึ่งคอลเลคชั่นนี้จะใช้งบการตลาดกว่า 50 ล้านบาทจากงบตลาดรวมและคาดยอดขาย 100 ล้านบาทในช่วง 6 เดือน โดยคอลเลคชั่นมายานี้เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคัลเลอร์ส ซึ่งมีสัดส่วนการขายมากกว่า 34% ซึ่งสินค้าใหม่นี้ปีนีคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 250 ล้านบาท จากทั้ง 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์
ขณะที่การขยายสาขานั้น จะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท เปิดเพิ่มอีก 20 สาขา เน้นในต่างจังหวัดเป็นหลักประมาณ 15 สาขา ส่วนกรุงเทพฯ 5 สาขา ซึ่งปีที่แล้วเปิด 29 สาขา และปิดไป 2 สาขา จากปัจจุบันที่มี 279 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 100 สาขา (แบ่งเป็น 92 ชอป และ 8 คอร์เนอร์) ส่วนในต่างจังหวัดมีรวม 179 สาขา (แบ่งเป็น 168 ชอป และ 11 คอร์เนอร์)
โดยปีนี้จะมีการเปิดสาขาในรูปแบบใหม่และมีคอนเซ็ปท์ใหม่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในเวลานี้ ส่วนด้านสมาชิกนั้น ปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มอีก 216,000 ราย ให้ครบเป็น 1,000,000 ราย จากปัจจุบัน มีประมาณ 765,000 ราย ซึ่งกำลังซื้อต่อบิลของสมาชิกจะสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกด้วย กล่าวคือ สมาชิกมีการซื้อประมาณ 1,021 บาทต่อบิล ส่วนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกประมาณ 780 บาทต่อบิล ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมและมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกมากขึ้น
ปัจจัยสุดท้ายคือ การสื่อสารการตลาด โดยตั้งงบการตลาดไว้ที่ 500 ล้านบาท ส่วนงบการสื่อสารอีกประมาณ 250 ล้านบาท ซึ่งจะทำการตลาดสื่อสารทุกรูปแบบทั้งการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กิจกรรม โรดโชว์ ส่งเสริมการขาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น นางสาวพาสนา กล่าวว่า อยู่ในความสนใจเหมือนกัน แต่ขณะนี้ยังอยู่ในการศึกษาของคณะกรรมการอยู่ ซึ่งวิธีการไปอาจจะไปเปิดเป็นชอปมากกว่า
นางสาวพาสนา กล่าวว่า จากแผนการดำเนินงานในปีนี้ที่ใช้งบรวมมากกว่า 810 ล้านบาท คาดว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 3,250 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 8% เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำรายได้ประมาณ 3,012 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 21% และมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2,700 ล้านบาท มากถึง 11% ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วบริษัทฯจะเติบโตประมาณ 20% แต่ปีนี้โตน้อย เพราะว่าฐานธุรกิจเริ่มใหญ่แล้วไม่เหมือนอดีตที่รายได้ยังน้อยอยู่ แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น กรุงเทพฯ 48% และต่างจังหวัด 52%
ส่วนสัดส่วนรายได้นั้นหากแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์จะพบว่า 1.กลุ่มผิวพรรณ มีสัดส่วนรายได้ที่ 34% คาดว่าปีนี้จะเติบโต 25% 2.กลุ่มสีสันหรือคัลเลอร์ส มีสัดส่วนรายได้ที่ 34% คาดว่าปีนี้จะมีอัตราเติบโต 25% 3.กลุ่มบอดี้และแฮร์ มีสัดส่วนรายได้ 22% และคาดปีนี้เติบโต 12% 4.กลุ่มไลฟ์สไตล์ มีสัดส่วนรายได้ที่ 10% และคาดว่าปีนี้จะเติบโต 15%
นางพาสนา ยังกล่าวถึงผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและความวุ่นวายทางการเมืองว่า หากมองในภาพรวมแล้วไม่ได้กระทบมากนัก โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด แต่อาจจะมีบ้างเล็กน้อยในกรุงเทพฯ จากกรณีคนเดินเที่ยวห้างลดลงส่งผลต่อการขายสินค้าด้วย อย่างไรก็ตาม หากมองจากกำลังซื้อแล้วไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งไตรมากแรกปีนี้บริษัทฯมีการเติบโต 10%
นางสาวพาสนา อินทราทิพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอ. พี. เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ โอเรียนทอล พริ้นเซส เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปีนี้ของโอเรียนทอล พริ้นเซสว่า ยังคงยึดกลยุทธ์หลัก 4 ประการสำคัญคือ 1.การออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง 2.การขยายสาขา 3.การเพิ่มสมาชิก และ 4.การสื่อสารการตลาด
โดยปีนี้จะออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ประมาณ 300 เอสเคยู ล่าสุดคือ คอลเลคชั่นพิเศษ “มายา ลิมิเต็ด เอดิชั่น” ประกอบด้วยชุดน้ำหอมและเครื่องสำอางใน 5 รูปแบบ ซึ่งคอลเลคชั่นนี้จะใช้งบการตลาดกว่า 50 ล้านบาทจากงบตลาดรวมและคาดยอดขาย 100 ล้านบาทในช่วง 6 เดือน โดยคอลเลคชั่นมายานี้เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มคัลเลอร์ส ซึ่งมีสัดส่วนการขายมากกว่า 34% ซึ่งสินค้าใหม่นี้ปีนีคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 250 ล้านบาท จากทั้ง 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์
ขณะที่การขยายสาขานั้น จะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท เปิดเพิ่มอีก 20 สาขา เน้นในต่างจังหวัดเป็นหลักประมาณ 15 สาขา ส่วนกรุงเทพฯ 5 สาขา ซึ่งปีที่แล้วเปิด 29 สาขา และปิดไป 2 สาขา จากปัจจุบันที่มี 279 สาขา แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 100 สาขา (แบ่งเป็น 92 ชอป และ 8 คอร์เนอร์) ส่วนในต่างจังหวัดมีรวม 179 สาขา (แบ่งเป็น 168 ชอป และ 11 คอร์เนอร์)
โดยปีนี้จะมีการเปิดสาขาในรูปแบบใหม่และมีคอนเซ็ปท์ใหม่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในเวลานี้ ส่วนด้านสมาชิกนั้น ปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มอีก 216,000 ราย ให้ครบเป็น 1,000,000 ราย จากปัจจุบัน มีประมาณ 765,000 ราย ซึ่งกำลังซื้อต่อบิลของสมาชิกจะสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกด้วย กล่าวคือ สมาชิกมีการซื้อประมาณ 1,021 บาทต่อบิล ส่วนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกประมาณ 780 บาทต่อบิล ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมและมอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิกมากขึ้น
ปัจจัยสุดท้ายคือ การสื่อสารการตลาด โดยตั้งงบการตลาดไว้ที่ 500 ล้านบาท ส่วนงบการสื่อสารอีกประมาณ 250 ล้านบาท ซึ่งจะทำการตลาดสื่อสารทุกรูปแบบทั้งการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ กิจกรรม โรดโชว์ ส่งเสริมการขาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น นางสาวพาสนา กล่าวว่า อยู่ในความสนใจเหมือนกัน แต่ขณะนี้ยังอยู่ในการศึกษาของคณะกรรมการอยู่ ซึ่งวิธีการไปอาจจะไปเปิดเป็นชอปมากกว่า
นางสาวพาสนา กล่าวว่า จากแผนการดำเนินงานในปีนี้ที่ใช้งบรวมมากกว่า 810 ล้านบาท คาดว่าบริษัทฯจะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 3,250 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 8% เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำรายได้ประมาณ 3,012 ล้านบาท ซึ่งเติบโตถึง 21% และมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2,700 ล้านบาท มากถึง 11% ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วบริษัทฯจะเติบโตประมาณ 20% แต่ปีนี้โตน้อย เพราะว่าฐานธุรกิจเริ่มใหญ่แล้วไม่เหมือนอดีตที่รายได้ยังน้อยอยู่ แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น กรุงเทพฯ 48% และต่างจังหวัด 52%
ส่วนสัดส่วนรายได้นั้นหากแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์จะพบว่า 1.กลุ่มผิวพรรณ มีสัดส่วนรายได้ที่ 34% คาดว่าปีนี้จะเติบโต 25% 2.กลุ่มสีสันหรือคัลเลอร์ส มีสัดส่วนรายได้ที่ 34% คาดว่าปีนี้จะมีอัตราเติบโต 25% 3.กลุ่มบอดี้และแฮร์ มีสัดส่วนรายได้ 22% และคาดปีนี้เติบโต 12% 4.กลุ่มไลฟ์สไตล์ มีสัดส่วนรายได้ที่ 10% และคาดว่าปีนี้จะเติบโต 15%
นางพาสนา ยังกล่าวถึงผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและความวุ่นวายทางการเมืองว่า หากมองในภาพรวมแล้วไม่ได้กระทบมากนัก โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด แต่อาจจะมีบ้างเล็กน้อยในกรุงเทพฯ จากกรณีคนเดินเที่ยวห้างลดลงส่งผลต่อการขายสินค้าด้วย อย่างไรก็ตาม หากมองจากกำลังซื้อแล้วไม่ได้ลดลงเลย ซึ่งไตรมากแรกปีนี้บริษัทฯมีการเติบโต 10%