แฟรนไชส์ “สิเรียม บิวตี้ แคร์”(Sirium Beauty Care) ดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี อยู่ควบคู่มากับภาพลักษณ์ของ “แอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์” ในฐานะเจ้าของกิจการและสัญลักษณ์ประจำแบรนด์อย่างแยกจากกันไม่ออก แต่เมื่อดาราสาวประสบอุบัติเหตุชีวิตบางประการ จำเป็นที่ธุรกิจนี้ต้องปรับโฉมใหม่ เพื่อก้าวพ้นภาพลักษณ์เดิมไปให้ได้ ไม่เท่านั้น ยังได้พลิกกลยุทธ์การตลาดเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ เพื่อสู้วิกฤติในยุคสปาซบ
*** ถอย “แอน-สิเรียม” เข้าหลังบ้าน*****
ชโลธร เส็งสมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันท์ลภัส จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านบริการความงาม “สิเรียม บิวตี้ แคร์” และร้าน “สลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” เผยว่า จากกรณีที่ “คุณแอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์” ซึ่งเป็นหนึ่งในหกหุ้นส่วนบริษัท มีเหตุพัวพันทางการเมือง ส่งผลให้ช่วงปลายปีที่แล้ว (2552) รายได้จากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้าน “สิเรียม บิวตี้ แคร์” และ “สลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” ลดลงประมาณ 20% เช่นเดียวกันยอดขายสินค้าในร้านลดลงเฉลี่ย 20% เช่นกัน
ทว่า ยอดที่ลดลงเป็นการลดเพียงระยะสั้นๆ 1-2 เดือนเท่านั้น เมื่อสถานการณ์ข่าวเริ่มเบาบาง และลูกค้าส่วนใหญ่แยกแยะได้ระหว่างเรียนส่วนตัวกับธุรกิจ อีกทั้ง บางส่วนยังสงสารเห็นใจ ทำให้นับแต่เดือนมกราคม 2553 เป็นต้นมา รายได้กลับมาเหมือนปกติแล้ว ทั้งในส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการในร้าน และยอดขายสินค้า
อย่างไรก็ดี เพื่อจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่แบรนด์ บริษัทจะลดบทบาทเบื้องหน้าของแอน-สีเรียม โดยเปลี่ยนให้มาอยู่เบื้องหลังเฉพาะการบริหาร ส่วนเบื้องหน้านั้น จะเฟ้นหาดาราสาวคนใหม่มาเป็นแบรนด์ฟรีเซ็นเตอร์ ซึ่งกำหนดบุคลิกต้องเป็นผู้หญิงเก่งที่มีภาพลักษณ์ดี อยู่ในวัยทำงาน อายุประมาณ 26 ปี คาดว่าจะเปิดตัวได้ใน 1-2 เดือนข้างหน้า
“ปัจจุบัน คุณแอนยังไม่มีการถอนหุ้นออกไปแต่อย่างใด ยังคงถือหุ้นอยู่ราว 30% แต่หลังจากนี้ แบรนด์ “สิเรียม บิวตี้ แคร์” และ “สลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” จะไม่ยึดติดกับภาพคุณแอนอีกต่อไป โดยคุณแอนจะถอยมาอยู่เบื้องหลังในฐานะผู้บริหาร ซึ่งคุณแอนจะเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อมาประชุมร่วมกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เดือนละ 1 ครั้ง โดยอำนาจในการตัดสินใจธุรกิจ หรือการบริหารธุรกิจต่างๆของบริษัท จะต้องเป็นมติร่วมกันของคณะผู้บริหารทุกคน” ชโลธร อธิบาย
***ลดระดับแฟรนไชส์เจาะตลาดกลาง ****
โฉมใหม่ของแฟรนไชส์ “สิเรียม บิวตี้ แคร์” ยังปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจากเดิม คือ ระดับ B+ ขึ้นไป มาเป็นเน้นลูกค้าระดับกลาง C ถึง B+ ด้วยเหตุผลว่า ไม่ต้องการให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปซ้ำซ้อนกับร้าน“สลิมมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” ซึ่งจะมุ่งตลาดบนอย่างชัดเจน
นอกจากนั้น ปรับลดค่าแฟรนไชส์ จากเดิมค่าแรกเข้าอยู่ที่ 500,000 บาท เมื่อบวกค่าเช่าสถานที่ และค่าตกแต่งร้าน เบ็ดเสร็จต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 4 ล้านบาท แต่รูปแบบร้านใหม่ เงินลงทุนทั้งหมดจะเหลือ ประมาณ 2 ล้านบาท โดยตัดลงทั้งค่าแฟรนไชส์แรกเข้า ค่าเช่าทำเล และการตกแต่ง เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องในการให้บริการลูกค้าระดับกลาง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขและรายละเอียดการลงทุนที่ชัดเจนจะสรุปในปลายเดือนมีนาคมที่จะถึง
กรรมการผู้จัดการ ระบุว่า ปัจจุบัน แฟรนไชส์ “สิเรียม บิวตี้ แคร์” มีทั้งหมด 7 สาขา ที่ผ่านมา อัตราปิดกิจการประมาณ 20-30% โดยสาเหตุ จากทำเลไม่เหมาะสม และที่สำคัญ คือ ตลาดธุรกิจสปาโดยรวมซบเซาลงมาก ทำให้บริษัทต้องเปลี่ยนตำแหน่งแฟรนไชส์มามุ่งให้บริการลูกค้าระดับกลางมากขึ้น
สำหรับโฉมใหม่ของร้านแฟรนไชส์ ทำเลจะเน้นตั้งในห้างดิสเคาน์สโตน์ฝั่งพลาซ่า จากแต่ก่อนจะมุ่งเปิดในห้างสรรพสินค้าหรูหรา หรือตั้งเป็นสแตนอโลน ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก เช่นกันเดียวกันการตกแต่ง จะลดในส่วนเกินจำไปออกไป ขณะที่การหารายได้ จากเดิมมาจากค่าใช้บริการในร้าน 90% และขายสินค้า 10% เปลี่ยนสัดส่วนมาเป็นขายสินค้าเพิ่มเป็น 30-40% และค่าบริการในร้านเหลือ 60-70%
“ในช่วงที่สปาบูม เปิดที่ไหนก็ประสบความสำเร็จ แต่ในสภาพเศรษฐกิจตก และธุรกิจสปาซบเซาลง ทำให้ความถี่ในการใช้บริการของลูกค้าน้อยลง และเลือกความคุ้มค่ามากขึ้น ดังนั้น บริษัทต้องปรับตัว โดยมองโอกาสของผู้ลงทุนธุรกิจสปายังมีอยู่ แต่ต้องมีการนำผลิตภัณฑ์ความงามอื่นๆ มาขายเสริมด้วย ไม่ได้เน้นรายได้จากบริการอย่างเดียว เพราะเราเชื่อว่า ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ผู้หญิงยังคงรักสวยรักงาม ทำให้ผลิตภัณฑ์ความงามยังเป็นสิ่งที่ผู้หญิงพร้อมจะจ่าย” ชโลธร ระบุ
ทั้งนี้ จากการปรับโฉมแฟรนไชส์ “สิเรียม บิวตี้ แคร์” คาดจะทำให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ คืนเงินลงทุนได้เร็วยิ่งขึ้น เหลือประมาณ 15 เดือน และช่วยขยายสาขาในปีนี้ อีกประมาณ 5 แห่ง รวมทั้งหมดเป็น 12 สาขา
ในส่วนร้าน “สลิ่มมิ่ง พลัส บาย สิเรียม” บริษัทจะเป็นผู้ลงทุนเปิดเองทั้งหมด ขณะนี้อยู่ 5 สาขา และวางเป้าภายในปีนี้ จะเพิ่มอีก 2 สาขา กำหนดจุดขายเป็นร้านที่มีบริการครบวงการด้านความงาม มุ่งจับกลุ่มตลาดไฮเอ็นท์ชัดเจน ซึ่งสภาพเศรษฐกิจแทบจะไม่มีผลกระทบต่อลูกค้ากลุ่มนี้เลย
ด้านแผนการทำตลาดตั้งสำรองงบไว้ที่ 20-30% ของผลประกอบการ เน้นโฆษณาผ่านสื่อนิตยสารผู้หญิง และทำจัดกิจกรรม ณ จุดขาย และออกบูทแสดงสินค้ามากยิ่งขึ้น ตั้งเป้าว่า รายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้นประมาณ 30% จากปีที่ผ่านมา