นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่คนเสื้อแดง ขัดขวางการลงพื้นที่ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปดูปัญหาภัยแล้งที่ จ.อุดรธานีและหนองคาย จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะนายกฯมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาภัยแล้งของคนอีสานทั้งหมด แต่กลับถูกขัดขวางจากคนเสื้อแดงพียง 400-500 คน ซึ่งทำให้คนหลายล้านคนในภาคอีสานเสียโอกาส
แต่ที่น่าเสียใจยิ่งกว่าคือ การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปากบอกว่ารักคนอีสาน แต่กลับใช้วิธีการโทรศัพท์สั่งนายขวัญชัย ไพรพนา ให้ระดมคนเสื้อแดง จ.อุดรฯ มาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่อย่างถึงที่สุด จึงอยากถามว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการรัก และช่วยเหลือประชาชนหรือไม่ ถ้ารักประชาชนจริงก็น่าจะเปิดโอกาสให้รัฐเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะในบางพื้นที่ที่ได้รับเสียหายจนประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ จึงไม่อยากให้พ.ต.ท.ทักษิณ เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ตัวเอง และควรแยกแยะว่า อะไรคือความเดือนร้อนของประชาชน และอะไรคือปัญหาของตัวเอง
นายเทพไท ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้นายกฯเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้าประเทศจะต้องไม่มีการดำเนินคดีว่า ข้อเสนอดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แกนนำคนเสื้อแดงทุกคนไม่มีน้ำยาและไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจทางการเมือง และผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของคนเสื้อแดงก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และไม่ทราบว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นการโยนหินถามทางหรือไม่ เพราะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรชัดเจน ทั้งที่สามารถทวิตเตอร์ และวิดีโอลิงค์มาได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่บอกว่า จะยอมเจรจาแต่ต้องไม่จับกุมนั้น เป็นข้อเสนอที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะนักโทษหนีคดี ส่วนนายกฯ อภิสิทธิ์ อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐไปพบผู้ต้องหาอย่างซึ่งหน้า ถ้าไม่มีการจับกุมใดๆ ก็จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น ข้อเสนอครั้งนี้น่าจะทำให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเจรจา หลังจากเสียรังวัดจากการที่แกนนำคนเสื้อแดงล้มโต๊ะเจรจามาก่อนหน้านี้
นายเทพไท ยังกล่าวอีกว่า การที่ ส.ว.ยืนญัตติอภิปรายทั่วไปตาม มาตรา 161 นั้น รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำหน้าที่ของวุฒิสภาอย่างเต็มที่ และคาดหวังว่า การอภิปรายในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการอภิปรายที่สร้างสรรค์ และรัฐบาลก็พร้อมที่จะนำความคิดเห็นมาใช้ในการทำงานต่อไป
แต่ถ้าดูจากการอภิปรายในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ของ ส.ว.บางคน โดยเฉพาะ นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา ที่อ้างถึงผลสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอให้ลดความขัดแย้ง ลดวิวาทะการใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งคนในรัฐบาลตระหนักเรื่องนี้อยู่ตลอด แต่ที่มาพาดพิงถึงตน โดยระบุว่า เป็นผู้ต่อยอดความขัดแย้งนั้น อยากให้กลับไปดูการทำงานที่ผ่านมาของตนว่า เป็นผู้ก่อความขัดแย้งหรือไม่ และทำไมไม่ไปดูความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และลิ่วล้อ ที่ใช้เวทีคนเสื้อแดงบิดเบือนข้อเท็จจริง จาบจ้วงใส่ร้ายนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยถ่ายทอดสดผ่านพีเพิลชาแนล หากตนไม่ชี้แจงข้อเท็จจริง ก็อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดได้ เช่น กรณีคลิปเสียงของนายกฯ ที่ถูกตัดต่อ และการปลุกระดมว่านายกฯ สั่งฆ่าประชาชน ซึ่งถ้ารอให้เรื่องทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็อาจจะต้องใช้เวลานาน ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้
"พวกผมเป็นส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าไม่ชี้แจงและทำความเข้าใจก็อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และไม่ได้รับเลือกให้กลับมาทำงานอีก จึงจำเป็นต้องเอาใจประชาชนคนส่วนใหญ่ ไม่เหมือนนักการเมืองที่ได้มาจากการสรรหาไม่ต้องแคร์กระแสสังคม ไม่ต้องคำนึงเสียงของประชาชน เพียงแต่เอาใจคณะกรรมการสรรหา 7-8 คน ก็สามารถเข้าสู่ตำแหน่งได้" นายเทพไทกล่าว
แต่ที่น่าเสียใจยิ่งกว่าคือ การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปากบอกว่ารักคนอีสาน แต่กลับใช้วิธีการโทรศัพท์สั่งนายขวัญชัย ไพรพนา ให้ระดมคนเสื้อแดง จ.อุดรฯ มาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่อย่างถึงที่สุด จึงอยากถามว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการรัก และช่วยเหลือประชาชนหรือไม่ ถ้ารักประชาชนจริงก็น่าจะเปิดโอกาสให้รัฐเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะในบางพื้นที่ที่ได้รับเสียหายจนประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ จึงไม่อยากให้พ.ต.ท.ทักษิณ เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ตัวเอง และควรแยกแยะว่า อะไรคือความเดือนร้อนของประชาชน และอะไรคือปัญหาของตัวเอง
นายเทพไท ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ เสนอให้นายกฯเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณโดยตรง แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้าประเทศจะต้องไม่มีการดำเนินคดีว่า ข้อเสนอดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แกนนำคนเสื้อแดงทุกคนไม่มีน้ำยาและไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจทางการเมือง และผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของคนเสื้อแดงก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และไม่ทราบว่าข้อเสนอดังกล่าวเป็นการโยนหินถามทางหรือไม่ เพราะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรชัดเจน ทั้งที่สามารถทวิตเตอร์ และวิดีโอลิงค์มาได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่บอกว่า จะยอมเจรจาแต่ต้องไม่จับกุมนั้น เป็นข้อเสนอที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะนักโทษหนีคดี ส่วนนายกฯ อภิสิทธิ์ อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐไปพบผู้ต้องหาอย่างซึ่งหน้า ถ้าไม่มีการจับกุมใดๆ ก็จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น ข้อเสนอครั้งนี้น่าจะทำให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมเจรจา หลังจากเสียรังวัดจากการที่แกนนำคนเสื้อแดงล้มโต๊ะเจรจามาก่อนหน้านี้
นายเทพไท ยังกล่าวอีกว่า การที่ ส.ว.ยืนญัตติอภิปรายทั่วไปตาม มาตรา 161 นั้น รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำหน้าที่ของวุฒิสภาอย่างเต็มที่ และคาดหวังว่า การอภิปรายในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นการอภิปรายที่สร้างสรรค์ และรัฐบาลก็พร้อมที่จะนำความคิดเห็นมาใช้ในการทำงานต่อไป
แต่ถ้าดูจากการอภิปรายในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ของ ส.ว.บางคน โดยเฉพาะ นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา ที่อ้างถึงผลสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอให้ลดความขัดแย้ง ลดวิวาทะการใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งคนในรัฐบาลตระหนักเรื่องนี้อยู่ตลอด แต่ที่มาพาดพิงถึงตน โดยระบุว่า เป็นผู้ต่อยอดความขัดแย้งนั้น อยากให้กลับไปดูการทำงานที่ผ่านมาของตนว่า เป็นผู้ก่อความขัดแย้งหรือไม่ และทำไมไม่ไปดูความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และลิ่วล้อ ที่ใช้เวทีคนเสื้อแดงบิดเบือนข้อเท็จจริง จาบจ้วงใส่ร้ายนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยถ่ายทอดสดผ่านพีเพิลชาแนล หากตนไม่ชี้แจงข้อเท็จจริง ก็อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดได้ เช่น กรณีคลิปเสียงของนายกฯ ที่ถูกตัดต่อ และการปลุกระดมว่านายกฯ สั่งฆ่าประชาชน ซึ่งถ้ารอให้เรื่องทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็อาจจะต้องใช้เวลานาน ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้
"พวกผมเป็นส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าไม่ชี้แจงและทำความเข้าใจก็อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิด และไม่ได้รับเลือกให้กลับมาทำงานอีก จึงจำเป็นต้องเอาใจประชาชนคนส่วนใหญ่ ไม่เหมือนนักการเมืองที่ได้มาจากการสรรหาไม่ต้องแคร์กระแสสังคม ไม่ต้องคำนึงเสียงของประชาชน เพียงแต่เอาใจคณะกรรมการสรรหา 7-8 คน ก็สามารถเข้าสู่ตำแหน่งได้" นายเทพไทกล่าว