มาถึงวันนี้ ผู้เขียนพอจะวินิจฉัยลงไปได้ว่า “การสร้างการเมืองใหม่ จะสำเร็จได้ด้วยมันสมองที่ทรงปัญญา โดยผู้ทำที่กระจ่างแจ้งในสิ่งที่ทำ”
อธิบายได้ว่า ทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง คือตัวบ่งบอกถึง “มันสมองที่ทรงปัญญา” ผู้ทำที่เข้าถึงเหตุปัจจัยของปัญหา มองเห็นช่องทางแก้ไขปัญหา สามารถระดมพลัง “ทุกฝ่าย” ในสังคม เข้าร่วมกระบวนการแก้ไขปัญหา ด้วยแนวคิดแนวทางที่ชัดเจนเป็นเอกภาพ ปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จได้ด้วยดีในทุกขั้นตอน ฯลฯ ก็คือผู้ที่กระจ่างแจ้งในสิ่งที่ทำ ด้วยสติรู้ทันเต็มเปี่ยมในตัว
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนถึงความจริงที่สัมผัสได้ว่า มาถึงวันนี้ ทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้องและความมีสติรู้ทัน ได้ก่อตัวขึ้นเป็นเบื้องต้นแล้วในขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่แสดงบทบาททางประวัติศาสตร์ในการนำประชาชนชาวไทยก้าวขึ้นเป็น “เจ้าภาพ” เปลี่ยนแปลงประเทศไทย
อีกนัยหนึ่ง ทั้งสองสิ่งนี้ (ทฤษฎีที่ถูกต้องและความกระจ่างแจ้งในสิ่งที่ทำ ด้วยสติรู้ทันเต็มเปี่ยมในตัว) เป็นเป้าหมายที่บรรดา “ผู้ทำ” ทั้งหลายจะต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ให้เป็นคุณลักษณะหรือคุณสมบัติพื้นฐานของ “ผู้ทำ” หรือ “คน” ในแวดวงการเมืองใหม่ ที่เปรียบดังเซลล์ที่มีความเป็น “เซลล์ตันกำเนิด” (stem cell) ใน “กาย” อันยิ่งใหญ่ของขบวนการการเมืองใหม่
บนฐานดังกล่าว ชาวพันธมิตรฯ หรือ “เซลล์ต้นกำเนิด” การเมืองใหม่ทั้งหลาย จักสามารถพัฒนาคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอื่นๆ ขึ้นมาได้อย่างไม่ขาดสาย ตามการพัฒนาขยายตัวของกระบวนการสร้างการเมืองใหม่ ทั้งในส่วนของความคิดทฤษฎีหรือ “สมอง” ในส่วนขององคาพยพหรือองค์กรสำคัญทางยุทธศาสตร์หรือ “กาย” และในส่วนของตัวผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็คือคนการเมืองใหม่หรือ “เซลล์” ที่เปรียบดังเซลล์ต้นกำเนิดที่จะสร้างพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ให้แก่ขบวนการการเมืองใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ในความเข้าใจของผู้เขียน คุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งที่กำลังก่อตัว และจะแสดงตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในตัวชาวพันธมิตรฯ ก็คือ การคิดแบบผสมกลมกลืน
การคิดแบบผสมกลมกลืน นับเป็น “จินตภาพ” หรือ “คอนเซ็ปต์”ใหม่ในกระบวนการทางความคิดของชาวพันธมิตรฯ เป็นวิธีการคิดแบบหนึ่งของวิธีคิดแบบวิภาษวิธี ตีคู่ไปกับวิธีคิดแบบ “ขัดแย้ง”
วิธีคิดแบบผสมกลืน มุ่งแก้ปัญหาประเทศไทย ภายใต้สภาพเงื่อนไขหรือ “ภาพใหญ่”ที่กำกับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จากการเมืองเก่าเป็นการเมืองใหม่โดยเฉพาะ จัดอยู่ในมิติของการใช้ความพยายามทางอัตวิสัย คือความทรงปัญญา มีสติรู้ทันของคนการเมืองใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งยวด ในการสร้าง “ปัจจัยกำหนดใหม่” ซึ่งจะต้องดำเนินไปภายในกรอบจำกัดของภาพใหญ่ซึ่งเป็น “เงื่อนไขกำกับ” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย มุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาการเมือง จากการเมืองเก่า เป็นการเมืองใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในระบอบเดิม สามารถดำเนินให้สำเร็จได้ภายในกรอบของระบอบการปกครองปัจจุบัน (ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ในรูปแบบสันติวิธี การใช้วิธีคิดแบบผลมกลมกลืน ชี้นำการกระทำในทุกๆมิติของการเคลื่อนไหวต่อสู้ จึงเป็นสิ่งถูกต้อง สามารถแปรความมุ่งมั่น ความพยายามของเรา ให้เป็นการกระทำที่เกิดผลได้จริง บรรลุสู่ชัยชนะได้ในทุกขั้นตอน
คิดถูก ก็ทำถูก เกิดผลได้จริงตามต้องการ ฉันใดฉันนั้น
โดยสิ่งนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมีวุฒิภาวะ “คิดเป็น ทำเป็น” ของชาวพันธมิตรฯ ได้เป็นอย่างดี
เมื่อทำได้เช่นนี้ ชาวพันธมิตรฯ ก็จะมีความพร้อมในระดับพื้นฐาน สามารถทำการใหญ่ได้สำเร็จ นำมวลมหาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ โดยไม่ทำให้ฝ่ายใดถูกทำลาย สิ่งที่จะสูญสิ้นไปมีเพียง “การเมืองเก่า” หากมิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
อีกนัยหนึ่ง “ทุกฝ่าย” ยังอยู่ได้ด้วยดีในประเทศไทยที่ “เปลี่ยนไป” ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน (แตกต่างกัน กระทั่งขัดแย้งกัน) บนฐานการเมืองใหม่ ฐานใหญ่ของประเทศไทยยุคใหม่ที่รองรับการดำรงอยู่ของคนไทยทุกผู้ทุกนาม
ในทางปฏิบัติก็คือ ชาวพันธมิตรฯ ต้องพยายามอย่างยิ่งยวด เสริมสร้างปัจจัยกำหนดอันยิ่งใหญ่ (ตามทฤษฎี “3 สร้าง”) ชูธงการเมืองใหม่ ให้ทุกฝ่ายยอมรับ เห็นดีเห็นงาม สนับสนุน เข้าร่วม หรือกระทั่ง “เดินตาม” กระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ชาติไทย
จะเร็วหรือช้าไม่ใช่ปัญหา สำคัญอยู่ตรงที่ เมื่อถึงที่สุดแล้ว “ทุกฝ่าย” สามารถ “ย้าย” ตนเอง มาตั้งอยู่บนฐานการเมืองใหม่ ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างอิสระเสรียิ่งกว่ายุคใดๆ
ผลพลอยได้คือ ด้วยวิธีคิดแบบกลมกลืน ชาวพันธมิตรฯ จะปลอดซึ่งความคิดเบียดเบียนอย่างสิ้นเชิง เปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา วิสัยทัศน์ยาวไกล เป็นที่ไว้ใจได้ของคนไทยทั้งประเทศ
ตรงกันข้าม หากเรานำเอาวิธีคิดแบบ “ขัดแย้ง” ซึ่งเป็นวิธีคิดชี้นำการแก้ปัญหาระหว่าง “เรา” กับ “ศัตรู” มาชี้นำการปฏิบัติ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้วิธีการห้ำหั่น ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้พ่ายแพ้ไปอย่างย่อยยับ
แทนที่เราจะ “พา” พวกเขาออกพ้นจากวงจรการเมืองเก่า กลับทำลายพวกเขาบนฐานการเมืองเก่า แทนที่จะเป็นการทำลายการเมืองเก่า กลับจะเป็นการทำลายคนในการเมืองเก่า อุปมาดั่งจะปลูกบ้านใหม่ แทนที่จะพาเอาคนออกจากบ้านเก่าเสียก่อน กลับรื้อทำลายทั้งคนและบ้านไปพร้อมๆ กัน
ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะแห่งยุคสมัย ความเป็นจริงของประเทศไทย และความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย
เพราะการรื้อทำลาย รังแต่จะนำไปสู่ความบาดหมางของคนในชาติ เกิดความแตกแยก อาฆาตพยาบาท จองล้างจองผลาญกันไม่สิ้นสุด ปิดประตูประเทศไทย มิให้ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความเจริญรุ่งเรือง ตามที่ชาวโลกกำลังพากันมุ่งไปอย่างสิ้นเชิง
ความจริงแล้ว การแสดงออกถึงความ “ผสมกลมกลืน” เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเคลื่อนต่อสู้ 193 วันในปี 2551 นั่นคือ การรวมตัวกันของคนจากทุกภาคส่วน ในรูปขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยไม่มีการแบ่งแยกทางชนชั้น หรือกีดกันทางเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ เพศ วัย แต่ประการใด ทุกฝ่ายพร้อมใจมาร่วมปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน สามารถโค่นล้มรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณลงไปได้ อันเป็นมาตรการสำคัญขั้นต้นของการต่อสู้ “ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่”
ความผสมกลมกลืนที่ดำรงอยู่ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน เป็นฐานรองรับสำคัญยิ่ง ของการขยายวงเครือข่ายพันธมิตรฯ สามารถครอบคลุมไปถึงกลุ่มชนชาวไทยทุกภาคส่วน ทุกระดับชั้น ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศวัยทั่วทั้งสังคมไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บนฐานร่วมกันนี้ ความแตกต่าง ความขัดแย้งที่มีอยู่เดิมทั้งหมด ได้กลายเป็น “ปัจจัยรอง” สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการผสมผสาน ให้ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน ร่วมกันต่อสู้ “ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่” สร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง
วิเคราะห์กันถึงที่สุดแล้ว การเกิดขึ้นของการเมืองใหม่ เป็นชัยชนะของทุกฝ่าย (เป็น all win game) นั่นหมายถึงว่า แม้แต่นักการเมืองที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองเก่า เมื่อใดที่เขาตัดสินใจละทิ้งการเมืองเก่า (การเมืองสกปรก ได้อำนาจและใช้อำนาจบริหารประเทศ แบบฉ้อฉล ถือเอาผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นตัวตั้ง) รับการเมืองใหม่ (การเมืองสะอาด ใช้อำนาจบริหารประเทศโดยถือเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง) ก็มีสิทธิดำเนินชีวิตการเมืองของตนต่อไปได้เช่นเดียวกัน
ความหมายของชัยชนะ มีเพียงอย่างเดียว คือการเมืองเก่าหมดไป การเมืองเก่าหายไป การเมืองเก่ากลายเป็นอดีต ถูกเก็บไว้ในแฟ้มประวัติศาสตร์พัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย คนไทยได้พร้อมใจกันเปิดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองใหม่เรียบร้อยแล้ว
ภาระหน้าที่ของชาวพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ จึงอยู่ที่การทำให้ทุกฝ่ายกลายเป็นผู้ร่วมพลิกหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้
วิธีคิด วิธีทำ เบื้องต้น หรือในระดับยุทธศาสตร์ จึงต้องเป็นแบบ “ผสมกลมกลืน”
อธิบายได้ว่า ทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง คือตัวบ่งบอกถึง “มันสมองที่ทรงปัญญา” ผู้ทำที่เข้าถึงเหตุปัจจัยของปัญหา มองเห็นช่องทางแก้ไขปัญหา สามารถระดมพลัง “ทุกฝ่าย” ในสังคม เข้าร่วมกระบวนการแก้ไขปัญหา ด้วยแนวคิดแนวทางที่ชัดเจนเป็นเอกภาพ ปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จได้ด้วยดีในทุกขั้นตอน ฯลฯ ก็คือผู้ที่กระจ่างแจ้งในสิ่งที่ทำ ด้วยสติรู้ทันเต็มเปี่ยมในตัว
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนถึงความจริงที่สัมผัสได้ว่า มาถึงวันนี้ ทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้องและความมีสติรู้ทัน ได้ก่อตัวขึ้นเป็นเบื้องต้นแล้วในขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่แสดงบทบาททางประวัติศาสตร์ในการนำประชาชนชาวไทยก้าวขึ้นเป็น “เจ้าภาพ” เปลี่ยนแปลงประเทศไทย
อีกนัยหนึ่ง ทั้งสองสิ่งนี้ (ทฤษฎีที่ถูกต้องและความกระจ่างแจ้งในสิ่งที่ทำ ด้วยสติรู้ทันเต็มเปี่ยมในตัว) เป็นเป้าหมายที่บรรดา “ผู้ทำ” ทั้งหลายจะต้องช่วยกันสร้างขึ้นมา ให้เป็นคุณลักษณะหรือคุณสมบัติพื้นฐานของ “ผู้ทำ” หรือ “คน” ในแวดวงการเมืองใหม่ ที่เปรียบดังเซลล์ที่มีความเป็น “เซลล์ตันกำเนิด” (stem cell) ใน “กาย” อันยิ่งใหญ่ของขบวนการการเมืองใหม่
บนฐานดังกล่าว ชาวพันธมิตรฯ หรือ “เซลล์ต้นกำเนิด” การเมืองใหม่ทั้งหลาย จักสามารถพัฒนาคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอื่นๆ ขึ้นมาได้อย่างไม่ขาดสาย ตามการพัฒนาขยายตัวของกระบวนการสร้างการเมืองใหม่ ทั้งในส่วนของความคิดทฤษฎีหรือ “สมอง” ในส่วนขององคาพยพหรือองค์กรสำคัญทางยุทธศาสตร์หรือ “กาย” และในส่วนของตัวผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็คือคนการเมืองใหม่หรือ “เซลล์” ที่เปรียบดังเซลล์ต้นกำเนิดที่จะสร้างพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ให้แก่ขบวนการการเมืองใหม่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ในความเข้าใจของผู้เขียน คุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งที่กำลังก่อตัว และจะแสดงตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในตัวชาวพันธมิตรฯ ก็คือ การคิดแบบผสมกลมกลืน
การคิดแบบผสมกลมกลืน นับเป็น “จินตภาพ” หรือ “คอนเซ็ปต์”ใหม่ในกระบวนการทางความคิดของชาวพันธมิตรฯ เป็นวิธีการคิดแบบหนึ่งของวิธีคิดแบบวิภาษวิธี ตีคู่ไปกับวิธีคิดแบบ “ขัดแย้ง”
วิธีคิดแบบผสมกลืน มุ่งแก้ปัญหาประเทศไทย ภายใต้สภาพเงื่อนไขหรือ “ภาพใหญ่”ที่กำกับการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จากการเมืองเก่าเป็นการเมืองใหม่โดยเฉพาะ จัดอยู่ในมิติของการใช้ความพยายามทางอัตวิสัย คือความทรงปัญญา มีสติรู้ทันของคนการเมืองใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งยวด ในการสร้าง “ปัจจัยกำหนดใหม่” ซึ่งจะต้องดำเนินไปภายในกรอบจำกัดของภาพใหญ่ซึ่งเป็น “เงื่อนไขกำกับ” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย มุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาการเมือง จากการเมืองเก่า เป็นการเมืองใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในระบอบเดิม สามารถดำเนินให้สำเร็จได้ภายในกรอบของระบอบการปกครองปัจจุบัน (ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ในรูปแบบสันติวิธี การใช้วิธีคิดแบบผลมกลมกลืน ชี้นำการกระทำในทุกๆมิติของการเคลื่อนไหวต่อสู้ จึงเป็นสิ่งถูกต้อง สามารถแปรความมุ่งมั่น ความพยายามของเรา ให้เป็นการกระทำที่เกิดผลได้จริง บรรลุสู่ชัยชนะได้ในทุกขั้นตอน
คิดถูก ก็ทำถูก เกิดผลได้จริงตามต้องการ ฉันใดฉันนั้น
โดยสิ่งนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมีวุฒิภาวะ “คิดเป็น ทำเป็น” ของชาวพันธมิตรฯ ได้เป็นอย่างดี
เมื่อทำได้เช่นนี้ ชาวพันธมิตรฯ ก็จะมีความพร้อมในระดับพื้นฐาน สามารถทำการใหญ่ได้สำเร็จ นำมวลมหาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ โดยไม่ทำให้ฝ่ายใดถูกทำลาย สิ่งที่จะสูญสิ้นไปมีเพียง “การเมืองเก่า” หากมิใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
อีกนัยหนึ่ง “ทุกฝ่าย” ยังอยู่ได้ด้วยดีในประเทศไทยที่ “เปลี่ยนไป” ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน (แตกต่างกัน กระทั่งขัดแย้งกัน) บนฐานการเมืองใหม่ ฐานใหญ่ของประเทศไทยยุคใหม่ที่รองรับการดำรงอยู่ของคนไทยทุกผู้ทุกนาม
ในทางปฏิบัติก็คือ ชาวพันธมิตรฯ ต้องพยายามอย่างยิ่งยวด เสริมสร้างปัจจัยกำหนดอันยิ่งใหญ่ (ตามทฤษฎี “3 สร้าง”) ชูธงการเมืองใหม่ ให้ทุกฝ่ายยอมรับ เห็นดีเห็นงาม สนับสนุน เข้าร่วม หรือกระทั่ง “เดินตาม” กระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ชาติไทย
จะเร็วหรือช้าไม่ใช่ปัญหา สำคัญอยู่ตรงที่ เมื่อถึงที่สุดแล้ว “ทุกฝ่าย” สามารถ “ย้าย” ตนเอง มาตั้งอยู่บนฐานการเมืองใหม่ ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างอิสระเสรียิ่งกว่ายุคใดๆ
ผลพลอยได้คือ ด้วยวิธีคิดแบบกลมกลืน ชาวพันธมิตรฯ จะปลอดซึ่งความคิดเบียดเบียนอย่างสิ้นเชิง เปี่ยมด้วยจิตใจที่เมตตา วิสัยทัศน์ยาวไกล เป็นที่ไว้ใจได้ของคนไทยทั้งประเทศ
ตรงกันข้าม หากเรานำเอาวิธีคิดแบบ “ขัดแย้ง” ซึ่งเป็นวิธีคิดชี้นำการแก้ปัญหาระหว่าง “เรา” กับ “ศัตรู” มาชี้นำการปฏิบัติ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องใช้วิธีการห้ำหั่น ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้พ่ายแพ้ไปอย่างย่อยยับ
แทนที่เราจะ “พา” พวกเขาออกพ้นจากวงจรการเมืองเก่า กลับทำลายพวกเขาบนฐานการเมืองเก่า แทนที่จะเป็นการทำลายการเมืองเก่า กลับจะเป็นการทำลายคนในการเมืองเก่า อุปมาดั่งจะปลูกบ้านใหม่ แทนที่จะพาเอาคนออกจากบ้านเก่าเสียก่อน กลับรื้อทำลายทั้งคนและบ้านไปพร้อมๆ กัน
ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับลักษณะแห่งยุคสมัย ความเป็นจริงของประเทศไทย และความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทย
เพราะการรื้อทำลาย รังแต่จะนำไปสู่ความบาดหมางของคนในชาติ เกิดความแตกแยก อาฆาตพยาบาท จองล้างจองผลาญกันไม่สิ้นสุด ปิดประตูประเทศไทย มิให้ก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความเจริญรุ่งเรือง ตามที่ชาวโลกกำลังพากันมุ่งไปอย่างสิ้นเชิง
ความจริงแล้ว การแสดงออกถึงความ “ผสมกลมกลืน” เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเคลื่อนต่อสู้ 193 วันในปี 2551 นั่นคือ การรวมตัวกันของคนจากทุกภาคส่วน ในรูปขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยไม่มีการแบ่งแยกทางชนชั้น หรือกีดกันทางเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ เพศ วัย แต่ประการใด ทุกฝ่ายพร้อมใจมาร่วมปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน สามารถโค่นล้มรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณลงไปได้ อันเป็นมาตรการสำคัญขั้นต้นของการต่อสู้ “ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่”
ความผสมกลมกลืนที่ดำรงอยู่ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน เป็นฐานรองรับสำคัญยิ่ง ของการขยายวงเครือข่ายพันธมิตรฯ สามารถครอบคลุมไปถึงกลุ่มชนชาวไทยทุกภาคส่วน ทุกระดับชั้น ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศวัยทั่วทั้งสังคมไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
บนฐานร่วมกันนี้ ความแตกต่าง ความขัดแย้งที่มีอยู่เดิมทั้งหมด ได้กลายเป็น “ปัจจัยรอง” สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการผสมผสาน ให้ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน ร่วมกันต่อสู้ “ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่” สร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ให้กับประเทศไทยอย่างแท้จริง
วิเคราะห์กันถึงที่สุดแล้ว การเกิดขึ้นของการเมืองใหม่ เป็นชัยชนะของทุกฝ่าย (เป็น all win game) นั่นหมายถึงว่า แม้แต่นักการเมืองที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองเก่า เมื่อใดที่เขาตัดสินใจละทิ้งการเมืองเก่า (การเมืองสกปรก ได้อำนาจและใช้อำนาจบริหารประเทศ แบบฉ้อฉล ถือเอาผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นตัวตั้ง) รับการเมืองใหม่ (การเมืองสะอาด ใช้อำนาจบริหารประเทศโดยถือเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง) ก็มีสิทธิดำเนินชีวิตการเมืองของตนต่อไปได้เช่นเดียวกัน
ความหมายของชัยชนะ มีเพียงอย่างเดียว คือการเมืองเก่าหมดไป การเมืองเก่าหายไป การเมืองเก่ากลายเป็นอดีต ถูกเก็บไว้ในแฟ้มประวัติศาสตร์พัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย คนไทยได้พร้อมใจกันเปิดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองใหม่เรียบร้อยแล้ว
ภาระหน้าที่ของชาวพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ จึงอยู่ที่การทำให้ทุกฝ่ายกลายเป็นผู้ร่วมพลิกหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนี้
วิธีคิด วิธีทำ เบื้องต้น หรือในระดับยุทธศาสตร์ จึงต้องเป็นแบบ “ผสมกลมกลืน”